วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

How to Photoshop : ปรับแสง หน้าใสปิ้งๆ

เอาล่ะ มาเริ่มฮาวทูกันเลยดีกว่า~~~~

เราจะสอนแต่งรูปให้ออกมาเป็นแบบนี้!

ภาพสว่าง + หน้าใส =[]=b (ค่อนข้างลวงโลก กร๊ากกก)

ก่อนอื่น จะใช้photoshopรุ่นไหนก็ได้ เราคาดว่าออฟชั่นพวกนี้คงจะมีเหมือนๆกันทุกรุ่น = =//

อนึ่ง ของเราใช้ CS2 =w="

1.เปิดภาพที่จะแต่งขึ้นมา

(หน้าเหี่ยวๆ ในห้องที่แสงน้อยๆ =x=)

2. มาปรับแสงภาพกันก่อน เลือก Image > Adjustments > Curves

3. ลากเส้นเคิฟของฝั่งแสงให้สูงขึ้น แล้วลากเส้นเคิฟที่เป็นจุดเริ่มต้นของฝั่งเงาให้เข้ามา(ห่างจากขอบ)

*ลากฝั่งเงาเพราะต้องการเพิ่มความคมชัดให้รูป = =/*

สามารถดูแสงในภาพได้เลย มันจะขึ้นพรีวิวให้ที่ภาพจริง พอใจแล้วกด OK

4. สำหรับคนที่มีผิวเหลืองเกิน แดงเกิน ดำเกิน มืดเกิน! ให้เลือก Image > Adjustments >Selective Color

มันจะสามารถปรับค่าสีแต่ละสีได้ โดยเลือกสีเมนก่อนที่ตรงนี้..

ใครเหลืองเกินก็เลือกเหลือง แดงเกินเลือกแดง (สำหรับเรา.. เหลือง = =")

5.ปรับลดค่าสีตามใจชอบ ลองเลื่อนไปเลื่อนมาจนได้ตามต้องการแล้วเลือก OK

6. ก็อปปี้เลเยอร์ต้นฉบับขึ้นมาอีก1เลเยอร์ (ลากเลเยอร์ต้นฉบับไปตรงนิวเลเยอร์)

7.คลิกเลือกเลเยอร์ที่ก๊อปปี้มา เลือก Filter > Blur> Surface Blur

8.ปรับค่าให้เบลอแบบสุดๆไปเลยก็ได้ คือเอาให้ผิวเนียน = =// แล้วกด OK

โดยปกติแล้ว เครื่องมีนี้สร้างมาเพื่อให้เบลอเฉพาะส่วนที่เป็นพื้นผิว จะเว้นตรงส่วนที่เป็นเส้นเอาไว้

แต่ว่าสำหรับเราแล้วมันยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เลยต้องมีขั้นตอนอื่นๆมาเสริม = =+

9. ปรับค่า Opacity ของเลเยอร์ที่ทำการเบลอไว้ที่ประมาณ +/- 50%

10.ลบบ่งส่วนของภาพ(เลเยอร์ที่เบลอ)ที่เราต้องการความคมชัดออก เช่น เส้นริมฝีปาก เส้นกรอบหน้า และบริเวณอื่นนอกจากผิืวหน้า แบล็กกราวน์ บลาๆ

11. รวมเลเยอร์ เลือกปุ่มลูกศรเล็กๆที่ชี้ไปทางขวา > Merge Visible

12. ถ้าต้องการให้ภาพดูปิ้งๆ(?) นุ่มนวลขึ้น ก๊อปปี้เลเยอร์ที่รวมไปแล้วอีกครั้ง เลือกลเยอร์ที่ก๊อปปี้ขึ้นมาใหม่ เลือก Filter > Other > Hight Pass

13.ปรับค่าให้เส้นปรากฏขึ้นมา รายละเอียดส่วนอื่นๆจะเป็นสีเทา (ตามรูป)

14. ปรับโหมดเลเยอร์ให้เป็นโหมด Soft Light

15. จากนั้นทำการรวมเลเยอร์อีกที แล้วเซฟก็รูปเป็นอันเสร็จพิธี = =//

***เสริมเล็กน้อย ถ้าต้องการเพิ่มความคนชัดให้ภาพ หลังจากที่ใช้คำสั่ง Hight Pass แล้ว ให้ปรับโหมดเป็น Hard Light แทน ก็จะไ้ด้รูปที่คมชัดขึ้น!! = =// ***

เสร็จแล้ว~!! มาเทียบรูปก่อน-หลังแต่งกัน~

เครดิต BY akumichan

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

เปลี่ยนพื้นหลังหน้าจอให้เป็น Slide Show บน Windows 7

สำหรับใครที่เป็นคนที่เบื่อง่าย ชอบเปลี่ยนพื้นหลังหน้าจอ (Desktop Background) กันเป็นว่าเล่นแล้ว ใน Windows 7 ก็มีลูกเล่นเท่ๆมาให้ใช้กันอีกแล้ว นั้นก็คือ คุณสามารถเลือกรูปของคุณมาทำ Background และก็เป็นแบบ Slide Show ไปพร้อมๆกันเลยทีเดียว

ขั้นตอนการเปลี่ยนพื้นหลังหน้าจอให้เป็น Slide Show

1. เครื่องคุณต้องลง windows 7 นะครับ

2. คลิกขวาบนหน้าจอว่างๆ เลือก Gadgets (หรือไปที่ Control Panel > Appearance and Personalization > Personalization)

3. เลือก Theme รูปตามต้องการ ถ้ายังไม่ถูกใจสามารถคลิก Get more themes online เพื่อไปโหลด Theme เพิ่มจากเว็บของ Microsoft

4. คุณสามารถตั้งค่าของ Slide ได้โดยคลิกที่เมนูด้านล่าง Desktop Background Slide Show แล้วเลือกรูปที่ต้องการให้แสดง การจัดวางรูป หรือ เวลาที่ต้องการให้เปลี่ยนรูป หรือ Shuffle แล้วคลิก Save Changes

5. เพียงเท่านี้ ก็ได้พื้นหลังเป็นแบบ slide show ตามต้องการ




เครดิต : www.arip.co.th

เทคนิคใช้ Windows Search ค้นหาไฟล์แบบสายฟ้าแลบ!!!

เว็บไซต์ arip มีทิปง่ายๆ มาฝาก โดยเเฉพาะผู้ที่ใช้ช่องค้นหา (Search box) ในเมนู Start ของ Windows ซึ่งเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ผมเชื่อว่า หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า มันทำได้ ที่สำคัญมันช่วยให้คุณสามารถค้นหาไฟล์ หรือโปรแกรมที่ต้องการได้เร็วกกว่าเดิม ทำอย่างไรไปดูกันครับ

ปกติช่อง Search ในเมนู Start ของ Windows จะสามารถค้นหาไฟล์ หรือโปรแกรมทีตรงกันจากตัวอักษรที่คุณพิมพ์เพิ่มเข้าไปทีละตัว สมมติว่า คุณต้องการหาโปรแกรม "Windows Media Player" คุณก็จะค่อย พิมพ์ชื่อนี้เข้าไปในช่องค้นหา ด้วยการพิมพ์ตัวอักษรเข้าไปทีละตัวเรียงตามกันไป ซึ่งรายชื่อไฟล์ หรือโปรแกรมที่มีชุดตัวอักษรเรียงตามชื่อที่พิมพ์เข้าไปก็จะปรากฎปรับ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนถึงชื่อไฟล์ หรือโปรแกรมที่ใช่

จาก ตัวอย่างข้างต้นคุณต้องพิมพ์ Windows... ก็ 7 ตัวเข้าไปแล้ว สำหรับทิปนี้จะช่วยให้คุณพบไฟล์ หรือโปรแกรมทีต้องการเร็วขึ้น โดยแทนที่จะพิมพ์ชื่อตามตัวอักษรดังกล่าว ให้คุณพิมพ์เฉพาะตัวอักษรตัวแรกของชื่อโปรแกรมเท่านั้น ตัวอย่างในที่นี้ก็พิมพ์แค่ w m p (Windows Media Player) เพียงแค่รายชื่อโปรแกรมที่ได้จากการ Search ด้วยคีย์เวิร์ดดังกล่าวก็จะโผล่ Windows Media Player ขึ้นมาให้ทันที พิมพ์แค่ 3 ตัวเอง แล้วถ้าผมพิมพ์ในช่อง Search ว่า m o w ล่ะ? ใช่แล้วครับ Microsoft Office Word นั่นเอง หวังว่า ทิปง่ายๆ อย่างนี้คงจะถูกใจคุณผู้อ่านนะครับ

เครดิต : www.arip.co.th

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

การเลือกซื้อ จอ LCD ให้คุ้มค่ามากที่สุด

ถ้าคุณมีงบประมาณเหลือเฟือก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่สำหรับผู้ที่ต้องการให้ทุกบาททุกสตางค์คุ้มค่ามากที่สุด นอกจากรสนิยมส่วนตัวแล้ว 10 วิธีพื้นฐานนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังกับจอ LCD ซื้อมาเลย





1. ข้อดีและข้อเสียของจอภาพ LCD

จอภาพ LCD นั้นไม่ได้มีคุณสมบัติที่สมบูรณ์แบบในตัวเอง และในบางเรื่อง
ก็ด้อยกว่าจอภาพแบบ CRT ด้วยซ้ำ ดังนั้นคุณต้องทำความเข้าใจและถามตัวเองก่อนว่าต้องการข้อดีและยอมรับกับข้อจำกัด
ของจอภาพได้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดรำคาญใจในภายหลัง โดยข้อดีต่างๆ ของจอภาพ LCD ก็คือ

- มีขนาดเล็กและบาง ทำให้ประหยัดพื้นที่ใช้งานมากกว่า
- กินไฟน้อยกว่า
- สบายตากว่าเพราะภาพไม่มีการ Flicker
- (บางรุ่น) หมุนแสดงผลแนวตั้งได้
- น้ำหนักเบาและสามารถแขวนติดฝาผนังได้
- รูปภาพไม่มีการเสียรูปทรง
- ใช้งานพื้นที่เต็มขนาดจอภาพ
- ไม่มีคลื่นรบกวนจากอุปกรณ์รอบข้างโดยเฉพาะลำโพง

ส่วนข้อเสียก็มีเช่นกันคือ

- มีมุมองที่จำกัดทั้งในแนวตั้งและแนวนอน
- ความคมชัดจะเปลี่ยนไปตามมุมมอง
- (ในขนาดที่เท่าๆ กับจอ CRT) จะมีราคาสูงกว่า
- (ส่วนใหญ่) มีเงาดำเมื่อภาพเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
- ความละเอียดที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานมีเพียงค่าเดียว



2. ขนาดและความละเอียด

จอภาพ LCD แต่ละขนาดจะถูกออกแบบมา โดยให้มีค่าความละเอียดที่เหมาะสมและแสดงภาพได้อย่างชัดเจนเพียงแค่ค่าเดียว
เท่านั้นโดยจะสังเกตได้ว่าผู้ผลิตจะอ้างด้วยข้อความว่า Native Resolution
(จอภาพ CRT ส่วนใหญ่จะระบุด้วยคำว่า ความละเอียดสูงสุด) เช่นจอภาพขนาด 17 นิ้วที่ส่วนใหญ่จะมีความละเอียด 1,280x1,024 พิกเซลหรือขนาด 15 นิ้วที่มีความละเอียด
1,024x768 พิกเซล ดังนั้นคุณจึงควรตรวจสอบความละเอียดที่จอภาพระบุด้วยว่าเพียงพอต่อความต้องการ
หรือไม่ เพราะคุณจะไม่สามารถใช้ความละเอียดอื่นได้ หากต้องการภาพที่มีความชัดเจน

3. ความสว่าง

จอภาพที่ผู้ผลิตอ้างว่ามีความสว่างสูงจะเป็นหลักประกันได้ดีกว่าว่า
คุณสามารถนำจอภาพ LCD ไปใช้งานได้ในทุกๆ ที่โดยไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของสภาพแสงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่โล่งที่มีความสว่างมากๆ อย่างเช่นบนสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งจอภาพที่มีความสว่าง 300Cd/m2
(แคนเดลาร์ต่อตารางเมตรหรือ nits) จะแสดงภาพได้ชัดเจนกว่าและทำให้ไม่ต้องเพ่งมองเหมือนกับจอภาพที่มีความสว่าง
เพียง 175Cd/m2 แต่สำหรับการใช้งานภายในบ้าน ที่ทำงานความสว่างสูงๆ
นี้ก็ไม่ได้จำเป็นเสมอไป

4. จุดเสีย (Dead Pixels)

ข้อบกพร่องของจอภาพที่พบได้เป็นประจำก็คือ การมีผลึกเซลล์ที่มีหน้าที่สร้าง
จุดสีมีสถานะเป็น ON หรือ OFF แบบถาวรแทนที่จะมีสถานะที่เปลี่ยนไปตามสัญญาณภาพที่ส่งมาแสดงที่หน้าจอ ซึ่งจุดเสียนี้จะเห็นเป็นจุดสีขาวสว่างๆ (หรืออาจเป็นจุดสีดำก็ได้) ดังนั้นก่อนที่คุณจะซื้อให้สอบถามถึงเงื่อนไขการรับประกันและการเปลี่ยนจอภาพใหม่
ให้แทนในกรณีที่จอภาพนั้นๆ มีจุดเสียเกิดขึ้น และถ้าเป็นไปได้ก็ควรตรวจสอบดูก่อน ซึ่งวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดก็คือ การเปิดภาพหรือโปรแกรมใดๆ ก็ได้ที่ทำให้จอภาพแสดงสีขาวได้ทั่วทั้งจอภาพ แล้วจากนั้นให้เปลี่ยนจอเปลี่ยน
ไปแสดงสีดำแทน ซึ่งถ้าจอภาพมีจุดเสียอยู่คุณก็จะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน

5. อัตราคอนทราสต์และมุมมอง

ถ้าคุณเลือกจอภาพ LCD ก็ให้ยอมรับกับข้อด้อยในเรื่องมุมมองก่อน แต่ถ้าทำใจลำบากก็ให้คุณตรวจสอบจากหน้าเว็บไซต์ของผู้ผลิตดูก่อนว่า จอภาพนั้นมีมุมมองที่กว้างมากพอทั้งในแนวตั้งและแนวนอนหรืออย่างน้อยที่สุด 120 องศาและถ้าเป็นไปได้ก่อนที่คุณจะซื้อให้ทดสอบด้วยการมองด้วยตาเปล่าในมุมต่างๆ แล้วแต่สถานที่จะอำนวย จากนั้นให้สังเกตดูว่าภาพที่เห็นนั้นยังคงมีความชัดเจนอยู่หรืออัตราคอนทราสต์ของ
ภาพยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้จริงๆ

6. ความเร็วในการตอบสนอง

คุณสมบัติเฉพาะของจอภาพ LCD ข้อนี้หมายถึงเวลาที่จุดพิกเซลใช้ในการ
เปลี่ยนสถานะ (ON/OFF) หรือถ้าให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือเวลาที่จุดพิกเซลหนึ่งๆ ใช้ในการเปลี่ยนจากการแสดงสีดำเป็นสีขาว ซึ่งหลายๆ คนน้ำตาตกมาแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ซื้อจอภาพ LCD มาเล่นเกมสามมิติหรือการแสดงผลในลักษณะอื่นที่ภาพมีการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว โดยในจอภาพที่มีความเร็วในการตอบสนองที่ไม่เร็วพอนั้น ภาพที่ได้จะมีลักษณะที่เป็นเงาดำหรือที่เรียกว่า Ghosting เกิดขึ้นตามมาพร้อมกับภาพด้วย ดังนั้นคุณควรเลือกจอภาพที่มีความเร็วสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้คือ อย่างน้อย 16 มิลลิวินาทีหากคุณต้องการนำมาใช้งานในลักษณะดังกล่าว





7. การปรับ หมุนและแสดงผลในแนวตั้ง

ความสามารถพิเศษของจอภาพ LCD ที่หาไม่ได้จากจอภาพแบบ CRT ก็คือ การหมุนแสดงผลในแนวตั้งซึ่งการแสดงผลลักษณะนี้จะทำให้คุณสามารถแสดง
หน้าเอกสารต่างๆ หรือหน้าเว็บไซต์ทั้งหน้าได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องคลิกปุ่มเลื่อนขึ้นลง
แต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ดีคุณสมบัตินี้จะมีเฉพาะจอภาพบางรุ่นที่ออกแบบมาโดย
เฉพาะเท่านั้น นอกจากนั้นคุณควรตรวจสอบก่อนด้วยว่า หลังจากที่หมุนแล้วจอภาพมีระบบล็อคที่แน่นหนา ไม่แกว่งไปแกว่งมาและที่สำคัญคุณยังปรับระยะก้มเงยลักษณะต่างๆ
ได้โดยที่ไม่มีการติดขัดใดๆ

8. ระบบการควบคุม

แม้ว่าจอภาพจะถูกตั้งค่ามาอย่างเหมาะสมแล้ว แต่ก็บ่อยครั้งที่คุณจำเป็นต้องปรับแต่งเพิ่มเติมดังนั้น นอกจากระบบอัตโนมัติสำหรับการใช้งานในลักษณะต่างๆ ที่มีให้แล้ว จอภาพควรมีระบบควบคุมที่ใช้งานได้สะดวกด้วยหรืออย่างน้อยปุ่มปรับค่าต่างๆ ก็ควรอยู่ตำแหน่งที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ง่าย เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว คุณจะรู้สึกหงุดหงิดมากทีเดียวเมื่อต้องการปรับค่าแต่ละครั้งแม้ว่า
จะต้องการเพียงแค่เพิ่มความสว่างก็ตาม

9. พอร์ตสำหรับการเชื่อมต่อ

การเชื่อมต่อและแสดงผลโดยใช้สัญญาณภาพในระบบดิจิตอลนั้นจะให้ภาพ
ที่มีคุณภาพสูงกว่าอนาล็อกทั่วไป ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าจอภาพ LCD ที่คุณเลือกทำได้ให้ตรวจสอบด้วยว่านอกจากพอร์ต D-Sub แล้วจอภาพยังม
ีพอร์ต DVI ให้มาด้วย แต่อย่างไรก็ดีหากการ์ดแสดงผลที่คุณใช้ไม่มีพอร์ต DVI-I ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณจะเลือกใช้จอภาพ LCD ที่มีพอร์ตสำหรับสัญญาณดิจิตอลเช่นนี้

10. การรับประกันจากผู้ขาย

เนื่องจากจอภาพ LCD นั้นไม่แข็งแรงเหมือนกับจอภาพ CRT ดังนั้นคุณควรพิจารณาด้วยว่าจอภาพมีอายุการรับประกันที่นานพอ รวมถึงการส่งซ่อมในกรณีฉุกเฉินและตรวจสอบการเปลี่ยนอะไหล่สำคัญๆ
อย่างเช่นหลอดไฟ Backlight สำหรับการใช้งานในระยะยาวด้วย

เครดิต
http://www.ramintra.com/modules.php?nam … amp;sid=71

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

คาถาวิเศษ สั่ง Nero ไรด์เเผ่นให้ได้ 830 เมก เต็มๆ

+++ คาถาวิเศษ สั่ง Nero ไรด์เเผ่นให้ได้ 830 เมก เต็มๆๆๆ +++

ง่ายมากครับ ลองดูได้ครับ

ปล. แผ่น CD-R 700MB/80Min หมายถึงแผ่น cdr ที่ไรท์ข้อมูลลงไป(โดยเครื่องไรท์ทั่วๆไปที่ผลิตอยู่ในมาตราฐานหรือเรียก ว่าเครื่องที่มีคุณภาพดี) โดยที่ข้มูลไม่เกิน 700MB โอกาสทีจะเกิดแผ่นเสีย จะน้อยกว่า 1%
หากเราพยายามที่จะไรท์ ข้อมูลให้ได้มากกว่า 700 %ที่จะเกิดข้อผิดพลาด(แผ่นเสีย)จะสูงมากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ คุณภาพของแผ่น(ยี่ห้อ), สภาพผิวของแผ่น ,สภาพของหัวlaser ,สภาพของ len , มาตราฐานเครื่องไรท์ ฯลฯ รวมถึงประสิทธิภาพของ โปรแกรมที่ใช้ไรท์
ที่เรากำลังทำอยู่นี่ คือการพยายาม ทำอะไรที่ทะลุขีดจำกัดมาตราฐาน โอกาสเกิดข้อผิดพลาดย่อมมีมากกว่าปกติ(ของผมไรท์ปกติไม่เกิน 700 ใช้แผ่น princo ขาว cdrom ของ asus ใน 100 แผ่น ยังมีเสีย 2-3แผ่น)

สิ่งที่นำเสนอนี้ไม่ใช่มาตราฐานใหม่ เพียงแต่เป็นแนวทางให้เลือกหากมีความจำเป็นที่จะต้องทำ
ดังนั้นหากจะทำการแหกมาตราฐาน แนะนำว่าให้ใช แผ่น cdr ที่มียี่ห้อหน่อย เลือกไดรว์ cdrom ที่มีคุณภาพ โอกาสแผ่นเสียจะลดลงครับ

+++ วิธีทำ +++

1.เปิด โปรแกรม Nero Express
2.คลิก More เลือก Configure
3.General => status bar : yellow marker ใส่เป็น 80 : red marker ใส่เป็น 99
4. กด Apply => OK.
5. Expert Features => เลือกเครื่องหมายถูก หน้า Enable overburn Disk- at- once
6. ตรง Maximum CD size : ใส่ 99 (min)
7. กด Apply => OK.
8. เลือก File ที่ต้องการ Burn => finished => next
9. กด More ตรง Write Method เลือก Disk-at-once
10. Burn
11. จะมี ข้อความขึ้นมาหน้าจอ ถามว่า Over Burn Writing
Prevention better than cure
เลือก Write Overburn Disc
12. รอ จนมีข้อความ completed successfully


www.oknation.net

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

ใครเหมือนคุณ หรือคุณเหมือนใคร !!!

วันนี้เรามีเว็บไซต์ ที่บอกว่าคนหน้าตาเหมือนดาราคนใดในโลกนี้มาฝากครับ
http://celebrity.myheritage.com/FP/Company/try-face-recognition.php?lang=TH << กดตามลิ้ง
หน้าแรกให้เราเลือกรูปของเรามา 1 รูป แล้วก็ทำการอัพโหลด


รอการประมวลผลและเปรียบเทียบภาพ


สุดท้ายจะได้ภาพเรากับภาพดารา คนดัง ต่างๆ ที่มีหน้าตาคล้านกับตัวเรา
ลองกับภาพของคุณและเพื่อนได้ตามต้องการ ดูซิว่าคุณจะเป็นใคร

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Firefox: ลบ History บางรายการแบบทันใจ

ตามปกติส่วนใหญ่ เวลาเราจะล้าง (clear) ประวัติการเยี่ยมชมเว็บไซต์ (History) ให้หมดภายในคราวเดียวก็ทำได้ง่ายๆ แต่ถ้าคุณต้องการลบทิ้งเพียงบางรายการเท่านั้น จะต้องนั่งไล่ลบไปทีละรายการอย่างนั้นหรือ?

วันนี้เรามีวิธีเจ๋งๆที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน สำหรับผู้ใช้ Firefox มาฝากครับ

  1. เปิดบราวเซอร์ไฟร์ฟอกซ์ ขึ้นมาก่อน
  2. เลือก History > Show All History หรือเพียงกด Ctrl+Shift+H
  3. พิมพ์ชื่อเว็บที่ต้องการลบให้สิ้นซาก ในช่อง Search History



  4. จากนั้นจะปรากฎรายชื่อเว็บที่หาเจอ โผล่ขึ้นมามากมาย ให้เลือกมาซัก 1 รายการ แล้วคลิกขวาที่รายการนั้น แล้วคลิก Forget About This Site



  5. เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ...ง่ายมากๆๆ
ที่มา : www.arip.co.th

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปลุก Firefox ให้เริ่มทำงานเร็วขึ้นถึง 3 เท่า!!!

หายห่างว่างเว้นกันไปนานสำหรับทิปที่เกี่ยวข้องกับบราวเซอร์ Firefox วันนี้ก็ได้ฤกษ์งามยามดี ทางกองบ.ก.เว็บไซต์ arip ก็เลยถึอโอกาสแนะนำทิปเด็ดๆ และโปรแกรมดาวน์โหลดดีๆ ที่สำคัญต้องฟรี!!! มาฝากกันก่อนหยุดพักผ่อนสุดสัปดาห์ แม้ Firefox จะเป็นบราวเซอร์โอเพ่นซอร์สที่แรงได้ใจแล้ว ยังมีคนคิดทำฟรีแวร์มาช่วยปรับแต่งให้ Firefox ของคุณแรงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ชักสนแล้วใช่ไหมครับ


Firefox บราวเซอร์อันดับ 2 ที่วันนี้วิ่งไล่กวดตามหลัง IE8 อยู่ห่างๆ อย่างหวั่นๆ เพราะช่วงหลังเจ้าตัวก็โดน Chrome แย่งพื้นที่ตลาดไปพอสมควร กระนั้นก็ตาม สาวก"จิ้งจอกอัคคี"ก็ยังคงไม่ตีจากบราวเซอร์ตัวนี้ไปโดยง่าย ล่าสุด Mozilla ได้ออก Firefox 4.0 รุ่นทดสอบมายั่วน้ำลายกันแล้ว แถมยังสำเนาอินเตอร์เฟซของ Chrome มาแบบพิกเซลต่อพิกเซลอีกต่างหาก แต่เดี๋ยวก่อน...นี่เรากำลังจะพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่ล่ะเนี่ย

อ้อ...จำ ได้แล้ว ทิปเด็ดเคล็ดไม่ลับวันนี้ขอเสนอวิธีเพิ่มความเร็วในการทำงานของ Firefox โดยเฉพาะตอนเริ่มต้นเปิดโปรแกรมขึ้นมาใช้งาน ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มันคิดอ่านหารคูณอะไรนักหนากว่าจะเริ่มทำงานได้ ยิ่งนานวันมันกลับทำงานช้าลงเรื่อยๆ (คล้ายโอเอสบางตัว?) สาเหตุก็คือ Firefox จะมีการใช้ฐานข้อมูล SQLITE ในการจัดเก็บค่ากำหนด (setting) ต่างๆ มากมาย โดยเมื่อเวลาผ่านไปฐานข้อมูลดังกล่าวจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เทอะทะจนเกิดอาการอุ้ยอ้าย ตัวช่วยสำหรับงานนี้ก็คือ SpeedyFox ซึ่งจะเข้ามาจัดการกระชับขนาด (compact) ของฐานข้อมูลดังกล่าวให้เล็กลงโดยไม่มีการสูญเสียข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น ผลลัพธ์ทำให้การทำงานกับฐานข้อมูลดังกล่าวเร็วขึ้น อานิสงส์ที่ได้จึงทำให้การเปิดโปรแกรม Firefox เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงความเร็วในการทำงานส่วนอื่นๆ อย่างเช่น การเปิด History เพื่อไล่ท่องเน็ตในอดีต ตลอดจนการจัดการกับ cookies ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันให้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจมากทีเดียว ประเด็นนี้จะไม่เหมือนกับการเล่นกล ด้วยอินเตอร์เฟซของบราวเซอร์ที่แค่ยกแท็บไปไว้บนสุด(แบบ chrome) แล้วตัดเฟอร์นิเจอร์รุงรังออกให้หมดผู้ใช้ก็รู้สึกได้ทันทีว่ามันเร็วขึ้น แล้ว :D


ที่มา : www.arip.co.th

วิธีการดาวน์โหลด Adobe Flash Player 10.1 แบบออฟไลน์ ไม่ต้องผ่าน DLM

สำหรับคนที่เล่นเกมส์บน Facebook ทุกคน คงจะอัพเกรดไปใช้ Adobe Flash Player 10.1 กันหมดแล้ว เพราะความเร็วที่เพิ่มขึ้นกับการใช้รีซอร์สที่ลดลง เช่น การใช้แบตเตอร์รี่ได้ยาวนานขึ้น แต่เนื่อง Adobe รีบออกมามาเพื่อลบคำสบประมาทมากเกินไป ก็เลยส่งผลให้มีบั๊กออกมามากมายไปด้วย


ซึ่งเวอร์ชันที่ออกมาแรกสุดของ 10.1 คือ 10.1.53.64 (คุณสามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้ว่า Flash ที่คุณใช้อยู่นั้นเป็นเวอร์ชันอะไร ด้วยการเข้าไปที่ http://www.adobe.com/software/flash/about/) ดังนั้นเวอร์ชันใหม่ที่แก้บั๊กแล้วคือ 10.1.82.76 แล้ว ซึ่งเวอร์ชันใหม่นี้ Adobe จะบังคับให้คุณดาวน์โหลดผ่าน DLM หรือ Adobe Download Manager นั่นเอง ซึ่งก็ต้องเสียเวลารออีกนาน ถ้าไม่อยากรอก็ทำตามนี้ครับ แต่ต้องเตรียมบราวเซอร์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ Internet Explorer ไม่ว่าจะเป็น Firefox, Mozilla, Netscape, Opera, Safari ก็ได้เอาไว้ด้วยนะครับ แค่โปรแกรมเดียวก็พอ ไม่ต้องโหลดมาทุกไฟล์ เพราะ Flash บนวินโดวส์นั้นทำงานอยู่สองแบบคือ แบบ Active X กับ ไม่ใช่ Active X

1. สมมติว่าจะเลือกโหลด Flash ของ Internet Explorer ซึ่งเป็นแบบ Active X ก็ต้องใช้ Firefox, Mozilla, Netscape, Opera, Safari ในทิปนี้จะใช้ Firefox เป็นตัวโหลดครับ โดยเข้าไปที่ http://get.adobe.com/flashplayer/otherversions/

2. ให้คุณเลือกระบบปฏิบัติการที่คุณใช้อยู่ แล้วคลิกที่ Continue

3. หลังจากนั้นให้คุณเลือกไปที่ Flash Player 10.1 for Windows Internet Explorer แล้วคลิก Agree and Install now

4. เท่านี้คุณก็สามารถดาวน์โหลด Adobe Flash Player แบบออฟไลน์ ไม่ต้องผ่าน Adobe Download Manager อีกต่อไป โดยที่ไฟล์ที่เราจะดาวน์โหลดก็คือ install_flash_player_ax.exe ครับ แต่เกิดโหลดแบบอัตโนมัติไม่ได้ ให้คลิกที่ Click Here ครับ

5. จากนั้นเราก็เข้าไปดูที่ http://www.adobe.com/software/flash/about/ ว่า Flash ในเครื่องอัพเดตแล้วหรือยัง

สำหรับ ในกรณีที่อยากดาวน์โหลดของ Firefox, Mozilla, Netscape, Opera, Safari ก็เปลี่ยนไปใช้ Internet Explorer แล้วทำตามขั้นตอนข้างบนครับ


ที่มา : www.arip.co.th

ค้นหา"ภาพคล้าย"ใน Google เจ๋งสุดๆ แค่คลิกเดียวก็ได้เลย!!

ผู้ใช้ต่างชื่นชอบอินเตอร์เฟซใหม่สำหรับการค้นหาภาพ (Image Search) ของกูเกิ้ล (Google) ซึ่งนอกจากจะสะดวกกว่าเดิมแล้ว มันยังมีการโยกย้ายฟังก์ชันการใช้งานบางอย่างที่ต้องสังเกตจึงจะเห็นด้วย นั่นก็คือ การค้นหาภาพเหมือนคล้ายใกล้เคียง (Similar) โดยในอินเตอร์เฟซใหม่คุณสามารถค้นหาภาพใกล้เคียงภาพต่างๆ ได้ภายในคลิกเดียว

สำหรับการค้นหาภาพคล้ายของ Google ภายใต้อินเตอร์เฟซใหม่นี้จะสังเกตได้จากเวลาที่เลื่อนเมาส์ไปบนภาพใดๆ ซึ่งปกติ Google จะขยายภาพนั้นขึ้นมาประมาณเท่าตัว โดยพื้นที่ด้านล่างจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อไฟล์ ขนาดภาพ ตลอดจนรายละเอียดสั้นๆ ของภาพรวมถึงเว็บไซต์เจ้าของภาพนั้นๆ แต่หากคุณสังเกตอีกนิดหนึ่ง บรรทัดสุดท้ายจะมีลิงค์ที่เขียนว่า Similar แม่นแล้ว หากคลิกที่ลิงค์นี้ Google ก็จะหาภาพที่คล้ายภาพที่เลือกขึ้นมาให้ทันที สมมติเสิร์ชหน้านางเอกสาวเกาหลีชื่อดังอย่าง Song Hye Kyo ผลลัพธ์จะได้ดังรูปข้างล่างนี้

จาก นั้นผมเลื่อนเมาส์ไปบนรูปธัมบ์เนลล์อันหนึ่ง รอสักครู่จนมันแสดงภาพใหญ่ขึ้นมาแล้วคลิกที่ลิงค์ Similar ด้านล่าง ผลลัพธ์ของภาพที่คล้ายกัน เช่น องค์ประกอบ ท่าทาง หรือเค้าหน้าที่คล้ายกันของนางเอกสาวคนนี้ก็จะปรากฎขึ้นมา อืม...ดาราเกาหลีนี่หน้าคล้ายกันไปหมดเลยนะเนี่ย :D

ใช้ค้นภาพอื่นๆ ที่คล้ายกัน ไม่จำเป็นต้องภาพหน้าคนก็ได้นะครับ อย่างเช่น ภาพโน้ตบุ๊คที่วางในลักษณะเดียวกัน หรือภาพสิ่งของอื่นๆ ที่คล้ายกันก็ได้ :D


ที่มา : www.arip.co.th

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เทคนิคการใช้งานโปรแกรม Photoshop ตอน "เปลี่ยนสีวัตถุ"

วันนี้จะมาแนะนำการใช้เครื่องมือใหม่แกะกล่อง ของ Adobe Photoshop CS ซึ่งก็เอาไว้ช่วยจัดการทางด้านสี โดยเหมาะกับ ผู้ที่ชื่นชอบการเปลี่ยนแปลงสีบนพื้นผิวรูปภาพด้วยสีที่ต้องการหรือเปลี่ยน สีเดิมเป็นสีใหม่ซะเลย ก็สามารถทำได้ง่ายๆด้วยเครื่องมือที่ชื่อ Color Replacement มาดูกันว่าใช้งานอย่างไง

ขั้นตอนที่ 1 :

เปิดโปรแกรม Adobe Photoshop CS ขึ้นมา จากนั้นก็ไปเปิดไฟล์รูปภาพที่ต้องการจะแก้ไขสีของรูปภาพขึ้นมา โดยการคลิ้กที่เมนูคำสั่ง File > Open... จะแสดงไดอะล็อกบ็อกซ์ Open ให้คลิ้กเลือกโฟลเดอร์และเลือกรูปภาพที่ต้องการ เมื่อได้รูปภาพที่แล้วให้คลิ้กปุ่ม Open
ขั้นตอนที่ 1
ขั้นตอนที่ 2

ขั้นตอนที่ 2 :

เมื่อแสดงรูปภาพที่ต้องการในหน้าต่างโปรแกรมแล้ว ให้ไปคลิ้กเลือกสีที่ต้องการจะแทนที่สีเดิม ในส่วน ฟอร์กราวนด์ จะแสดงไดอะล็อกบ็อกซ์ Color Picker เพื่อคลิ้กเลือกเฉดสีที่ต้องการ เมื่อได้สีที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ให้ไปคลิ้กปุ่ม OK

ขั้นตอนที่ 3 :

ให้ไปคลิ้กที่เครื่องมือ Color Replacement Tool จากส่วน Tools ในส่วนนี้จะมีเครื่องมืออยู่ 3 ส่วนอาจแสดงส่วนใดส่วนหนึ่ง ได้แก่ Healing Brush Tool, Patch Tool, Color Replacement Tool
ขั้นตอนที่ 3
ขั้นตอนที่ 4

ขั้นตอนที่ 4 :

ก็มาถึงเวลาที่สำคัญในการแปลงโฉมมะเขือเทศของเราแล้ว โดยให้ใช้เครื่องมือ Color Replacement Tool ป้ายลงไปบนพื้นผิวของรูปภาพที่ต้องการ แต่หากเคอร์เซอร์เป็นรูปเครื่องหมายวงกลมแล้วมีขีดขวาง (Image-005.jpg) ต้องไปเปลี่ยนโหมดของรูปภาพให้เป็น RGB Color เสียก่อนโดยการคลิ้กเมนูคำสั่ง Image > Mode > RGB Color
ขั้นตอนที่ 5

ขั้นตอนที่ 5 :

ค่อยๆ ใช้เมาส์ละเลงสีไปเรื่อยๆ เมื่อใช้เมาส์ระบายหรือป้ายสีลงบนผลมะเขือเทศจนทั่วถึง เรียกว่าหาสีเดิมไม่เจอแล้ว คราวนี้ก็จะได้สีใหม่ของมะเขือเทศเป็นผลใหม่ไฉไลกว่าเดิมทันที อาจเมื่อยมือบ้างแต่ก็สนุกดีใช่มั้ยครับ

โอ๊ย! อะไรมันจะ easy ขนาดนี้! เป็นอย่างไงครับการแปลงโฉมมะเขือเทศให้กลายเป็นสดจากไร่ไปในทันใด อย่างไรก็อย่าลืมเก็บรายละเอียดให้หมดนะครับ เดี๋ยวเค้ารู้ว่าเราย้อมแมว ไม่ใช่สิ เดี๋ยวงานออกมาไม่สวยงามดั่งใจ แล้วพบกันใหม่กับเทคนิคการใช้งาน Adobe Photoshop CS สวัสดีครับ

ที่มา www.arip.co.th

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แฉแหลกคอมพิวเตอร์ ตอน การวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาเมนบอร์ด

การวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาเมนบอร์ด
อาการเสียที่เกิดจากเมนบอร์ดนั้นเป็นปัญหาที่ค่อนข้างแก้ไขยาก และเกิดจากหลายสาเหตุ เนื่องจากมีอุปกรณ์หลายตัวเข้ามาติดตั้งอยู่บนเมนบอร์ด ทำให้เมื่อเมนบอร์ดมีปัญหามักหาสาเหตุไม่ค่อยเจอ ส่วนใหญ่จะมองไปที่อุปกรณ์ตัวอื่นมากกว่า เพราะจะว่าไปแล้วโอกาสที่อาการเสียจะเกิดจากเมนบอร์ดนั้น มีค่อนข้างน้อยทำให้อาจนึกไม่ถึง
สำหรับอาการเสียของเมนบอร์ดจะคล้ายกับอาการเสียของอุปกรณ์ตัวอื่นที่ติดตั้งอยู่บนเมนบอร์ด เช่นเครื่องบูตไม่ขึ้น , จอภาพมืด ส่วนใหญ่จะคิดว่าสาเหตุน่าจะเกิดมาจากจอภาพและฮาร์ดดิสก์มากกว่า หรืออาการเครื่องแฮงค์บ่อย หลายคนมักวิเคราะห์ว่าน่าจะเกิดจากแรม หรือไม่ก็ ซีพียู แต่แท้จริงแล้ว หากเมนบอร์ดเสีย เครื่องก็ไม่สามารถบูตได้ หรือเกิดอาการแฮงค์บ่อยได้เหมือนกัน


แนวทางในการวิเคราะห์ปัญหาเกิดจากเมนบอร์ดมีดังนี้
- ตรวจสอบการเชื่อมต่อของขั้วต่อต่าง ๆ บนเมนบอร์ดและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้แน่นและถูกต้อง เช่นขั้วต่อสายแพกับฮาร์ดดิสก์ , ขั้วต่อสายไฟจากเพาเวอร์ซัพพลายกับกับเมนบอร์ด เป็นต้น
- ตรวจสอบการติดตั้งของอุปกรณ์ต่าง ๆ บนเมนบอร์ดให้ถูกต้อง เช่น แรม หรือการ์ดต่าง ๆ บนเมนบอร์ดให้แน่น
- ตรวจสอบการระบายความร้อนบนอุปกรณ์เมนบอร์ดเช่น พัดลมชิพเซ็ท พัดลมพาวเวอร์ซัพพลาย หรือพัดลมเสริมตัวอื่น ๆ ว่ายังทำงานอยู่ดีหรือไม่
- ตรวจสอบการเซ็ตจัมเปอร์และดิปสวิตซ์บนเมนบอร์ดว่ากำหนดค่าต่าง ๆ ถูกต้องหรือ ส่วนมากมักจะเป็นเมนบอร์ดรุ่นเก่าๆ
- ตรวจสอบการกำหนดค่าในไบออสว่ามีการกำหนดค่าถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่
- ตรวจสอบถ่านแบตเตอรี่บนเมนบอร์ดว่าหมดแล้วหรือยังถ้าหมดให้เปลี่ยนถ่านใหม่
- หากเมนบอร์ดถามหาพาสเวิร์ดแล้วจำไม่ได้ให้ทำการเคลียร์ไบออสโดยถอดจัมเปอร์ไปเสียบที่ขา Clear Bios (ดูคู่มือเมนบอร์ดประกอบ) หรือจะถอดถ่านแบตเตอรี่ออกมาทิ้งไว้สักพักแล้วใส่เข่าไปใหม่ก็ได้
- ตรวจวสอบอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่นำมาติดตั้งว่าเข้ากันได้กับเมนบอร์ดหรือไม่ บางครั้งหากผู้ใช้ซื้ออุปกรณ์รุ่นใหม่ ๆ มาเมนบอร์ดตัวเดิมจะไม่สามารถรองรับได้ ให้ทำการอัพเดทไบออสเพื่อให้เมนบอร์ดมีประสิทธิภาพมากขึ้นสามารถรู้จักกับอุปกรณ์ ใหม่ ๆ ได้

หากได้ทำการตรวจสอบขั้นตอนเหล่านี้แล้วยังไม่พบปัญหาก็อาจเป็นไปได้ว่า เมนบอร์ดเสีย ให้เช็คดูว่ามีกระแสไฟลัดวงจร หรือเมนบอร์ดช๊อตหรือไม่ โดยตรวจสอบแท่นรองน็อตหรือมีวัตถุแปลกปลอมอย่างอื่นที่สามารถนำไฟฟ้าได้แอบแฝงอยู่บนเมนบอร์ดหรือไม่ ซึ่งปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคือ เมื่อผู้ใช้ได้ติดตั้งเมนบอร์ดแล้ว ลืมน๊อตตกค้างอยู่บนเมนบอร์ดเมื่อมีกระแสไฟจ่ายเข้ามาก็อาจทำให้เมนบอร์ดพังได้ เพราะน๊อตตัวเล็ก ๆ จะเป็นตัวนำกระแสไฟได้เป็นอย่างดี

สรุป การที่จะรู้ว่าเมนบอร์ดของคุณเสียเปล่าต้องมีการทดสอบคือนำเมนบอร์ดตัวใหม่มาทดสอบครับ ถ้าไม่มีคงจะต้องถึงมือช่างแล้วละครับ

จากหนังสือ เริ่มต้นเป็นช่างคอมพิวเตอร์ มืออาชีพ

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แฉแหลกคอมพิวเตอร์ ตอน Error Code คืออะไร ???

Error Code คืออะไร ???

Error Code คืออะไร ??? บ่อยครั้งที่การใช้งานคอมพิวเตอร์อาจเกิดความผิดพลาดบางประการขึ้นมาซึ่ง แสดงเป็นรหัสความผิดพลาด หรือ Error Code แต่ผู้ใช้อย่างเราๆ กลับไม่ทราบว่ามันหมายถึงอะไร วันนี้เราจึงมีตัวอย่าง 49 Error Code มาฝากกัน

ถ้าคุณใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์อยู่เป็นประจำละก็ ผมเชื่อว่าต้องเคยพบกับรายงานความผิดพลาดอย่าง Error 126, STOP: 0x0000007B (0xF741B84C,0xC0000034,0x00000000,0x00000000) หรือไม่ก็ Error 0x800a0099 ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ “บลูสกรีน”

หรือแม้แต่แสดงผ่านแมสเสจ บ็อกซ์ ของวินโดวส์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้น และแนะนำให้คุณแก้ปัญหาเบื้องต้นนี้อย่างไร แต่ผมเชื่อว่าน้อยคนนักที่จะสนใจและอ่านรายงานความผิดพลาดจนจบ เมื่อเจอกับข้อความ Error เข้า ส่วนใหญ่ก็จะไล่ปิดหน้าต่างหนีไปซะเลย ทำให้ปัญหาเหล่านั้นยังคงค้างคาอยู่ในเครื่อง และรอวันที่จะสร้างความเสียหายให้กับคอมพิวเตอร์ของคุณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะส่วนของโปรแกรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ภายในเครื่องของคุณอีกด้วย ที่อาจจะเริ่มทำงานผิดปกติ แต่ผู้ใช้กลับไม่รู้ตัว เพราะมีเพียงซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเท่านั้น ที่จะทราบถึงปัญหาความผิดปกติเล็กน้อยที่เริ่มก่อตัวขึ้น ดังนั้น ถ้าวันใดที่คุณพบ Error Code หรือรายงานความผิดพลาดแจ้งขึ้นมาอีก แนะนำให้ทำความเข้าใจกับมันก่อน คุณอาจจะจดเอาไว้ในกระดาษ แล้วค่อยไปค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ทีหลัง

Error Code ไม่หน้ากลัวอย่างที่คิด
การคิดไปล่วงหน้าเองว่า ตัวคุณจะรับมือกับความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนคอมพิวเตอร์ และวินโดวส์โดยลำพังไม่ไหวนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นการยอมแพ้อะไรง่ายๆ ไปซักนิด เพราะถ้าคุณยังไม่ได้ลงมือทำ หรือแก้ปัญหาด้วยตนเองก็จะไม่รู้เลยว่า ทุกปัญหานั้นยังพอมีทางแก้ไข ถึงแม้บางทีจะไม่ได้เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ตามแต่อย่างน้อยมันก็ทำให้คุณรักษาข้อมูลสำคัญเอาไว้ได้เช่นกัน

เมื่อวินโดวส์หรัสความผิดพลาดอย่าง Error Code หรือ Error Message ต่างๆขึ้นมาอย่าเพิ่งตกใจชัตดาวน์เครื่องแล้วหนีปัญหาไปนะครับ ถ้าเป็นหน้าจอบลูสกรีน แล้วมีตัวหนังสือเยอะๆ หรือตัวเลขฐาน 16 ที่คุณไม่รู้ความหมายนั้น ให้อ่านข้อมูลคร่าวๆ ที่เป็นการแจ้งความผิดพลาดก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นให้จด Error Code หรืออาจจะเป็น Error Message ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอลงในกระดาษ คุณอาจใช้กล้องดิจิตอลถ่ายภาพเอาไว้ เพื่อเก็บรายระเอียดต่างๆ ให้หมด การค้นหาคำตอบหรือความหมายของรหัสความผิดพลาดเหล่านั้นให้เริ่มต้นจาก Help ของวินโดวส์ก่อน ถ้าไม่พบข้อมูลที่ต้องการก็ให้ค้นหาจากเว็บไซต์ที่ให้บริการสืบค้นข้อมูล เว็บไดเรกทอรีต่างๆโดยเฉพาะที่เว็บ http://support.microsoft.com นั้น เป็นแหล่งข้อมูลชั้นดี ที่ควรเข้าไปใช้บริการบ่อยๆ เพราะเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์โดยตรง แต่บางที การค้นหาเอาตามเว็บบอร์ดไอทีต่างๆ อาจได้คำตอบเร็วกว่าที่คิด เพราะมีคนเข้าออกและผ่านเข้ามาตอบปัญหาให้เป็นจำนวนมาก ซึ่งผมคนหนึ่งละครับ ที่มักจะขอความช่วยเหลือจากที่นี่

และหลังจากที่ทุกคนได้อ่านบทความ ณ ที่นี้จนจบแล้ว เชื่อว่าพวกคุณพร้อมแล้วกับการพิชิตปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง

ข้อมูลจาก : Action (Computer.Today)

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แฉแหลกคอมพิวเตอร์ ตอน รู้จักกับ Blue Screen of Death

รู้จักกับ Blue Screen of Death
"จอฟ้ามรณะ" "มฤตยูจอฟ้า" หรือ "จอฟ้าแห่งความตาย" ไม่ว่าใครจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ Blue Screen of Death คือสิ่งที่ผู้ใช้พีซีไม่อยากเจอะเจอมากที่สุด เพราะถ้ามันปรากฏขึ้นเมื่อใด ย่อมหมายถึงได้เวลาที่คุณต้องล้างระบบ ติดตั้งวินโดวส์ใหม่กันแล้ว แต่ในความเป็นจริง จอฟ้ามรณะนี่มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ?
Blue Screen of Death คืออะไร?
เชื่อแน่ๆ ว่าผู้ใช้พีซีไม่ว่าจะมือใหม่หรือมือเก๋า น่าจะเจออาการแบบรูปที่ 1 กันบ้าง ไม่มากก็น้อย

แต่ปฏิกิริยาที่เจออาจจะแตกต่างกัน ถ้าเป็นมือเก๋า ก็แค่ร้อง "ว้าเว้ย!!" แล้วก็หาทางแก้กันไป หน้าจอเดียวกันนี้ ถ้าเป็นมือใหม่หัดใช้คอมพ์ อาจถึงกับลนลานรีบต่อสายตรงที่ช่างซ่อมคอมพ์ทันทีเลยทีเดียว แต่ช้าก่อนครับ!!?? ถ้าคุณได้อ่านบทความเรื่องนี้ อาจช่วยลดอาการลนลานได้บ้าง และถ้าคุณร้าสาเหตุที่มาที่ไปของอาการนี้คุณอาจช่วยเหลือตัวเองได้บ้างโดย ไม่ต้องง้อช่างเลย
ทีนี้มาถึงคำตอบของคำถามที่ผมตั้งเป็นหัวข้อไว้ Blue Screen of Death ( ต่อไปขอย่อว่า BOD นะครับ) อธิบายง่ายๆ ก็คือ หน้าจอที่แสดงอาการผิดปกติของวินโดวส์ ซึ่งอาการที่เกิดได้ก็มาจากหลายๆ สาเหตุ ทั้งเกิดจากซอฟต์แวร์ก็ได้ หรือฮาร์ดแวร์ก็ได้ หรือเกิดพร้อมๆ กันเลยก็มี เหตุที่ตั้งชื่อให้มันน่ากลัวขนาดนั้น ก็เพราะถ้าหน้าจอสีฟ้านี้แสดงขึ้นมา มันหมายความว่าอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ค่อนข้างหนักหนาจนวินโดวส์ไม่สามารถทำงานต่อไปได้ นอกจากรีเซ็ตเครื่องเพียงอย่างเดียว

ในบางกรณี การรีเซ็ตเครื่องหลังจากขึ้นบลูสกรีน ก็สามารถใช้งานเครื่องพีซีต่อได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะหมดไป วันดีคืนดี หน้าจอมรณะก็อาจจะกลับมาหลอกหลอนได้อีก เพราะสาเหตุของปัญหายังไม่ได้ถูกขจัด ถามว่าทำไมบลูสกรีนอยู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทั้งๆทีใช้งานมาตั้งนานยังไม่เคยมีปัญหาแบบนี้? คำตอบของปัญหานี้จะไปโทษระบบปฏิบัติการเพียงอย่างเดียวก็คงจะไม่ได้ อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าการทำงานของเครื่องพีซีต้องประกอบไปด้วยฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เป็นหลัก ฮาร์ดแวร์ถ้าไม่ซอฟต์แวร์ควบคุมจัดการก็ไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็ก ในทางกลับกันถ้าซอฟต์แวร์ไม่มีอะไรให้จัดการก็ไม่ต่างอะไรจากโค้ดดิ้งไร้สาระหลายหมื่นบรรทัด และในเมื่อทั้งสองอย่างต้องทำงานร่วมกัน ความเข้ากันได้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

มาถึงตรงนี้อาจจะเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมหน้าจอมรณะถึงพบบ่อยได้นักในระบบปฏิบัติการ วินโดวส์ทุกยุค ทุกสมัย นั่นก็เพราะ วินโดวส์เป็นระบบปฏิบัติการที่จำเป็นต้องออกแบบให้ใช้กับเครื่องพีซีและ อุปกรณ์ รอบข้างให้ได้หลากหลายที่สุดเท่าที่จะทำได้ แตกต่างจากระบบยูนิกซ์หรือ แมคโอเอส ที่ออกแบบมาเพื่อเครื่องยูนิกซ์หรือแอปเปิ้ลเพียงอย่างเดียว ลองนึกดูง่ายๆ แค่เมนบอร์ดที่ใช้กับเครื่องพีซีก็มีกี่ยี่ห้อ กี่รุ่น เข้าไปแล้ว ยังไม่นับกราฟิกการ์ด ซาวด์การ์ด โมเด็ม ฯลฯ และอีกสารพัดอุปกรณ์ที่ต้องนำมาเชื่อมต่อ ซึ่งอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้ถ้าเกิดปัญหาเรื่องความไม่เข้ากันเมื่อไหร่จอฟ้ามรณะก็บังเกิดขึ้น ครับ

ความจริงวินโดวส์เองก็มีข้อบังคับเรื่องของฮาร์ดแวร์คอมแพตทิเบิลอยู่ รายระเอียดของเรื่องนี้อยู่ที่ http://www.microsoft.com/resources/documentation/windows/xp/all/proddocs/en-us/hsc_compat_overview.mspx ซึ่งอุปกรณ์แต่ละชิ้นถ้าผ่านการรับรองจากไมโครซอฟต์ แล้ว จะมีโลโก้แสดงว่าวินโดวส์ คอมแพตทิเบิลอยู่ แต่สมัยนี้อุปกรณ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย บางตัวก็ติดโลโก้วินโดวส์คอมแพตทิเบิลมาด้วย แต่ผู้ใช้ก็ไม่มีทางรู้ว่าจริงหรือไม่ ยังไม่นับซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่ร้อยพ่อพันแม่พัฒนากันออกมา ดังนั้นในความเป็นจริง ผู้ใช้จึงไม่สามารถใช้อุปกรณ์ที่เป็นคอมแพตทิเบิลร่วมกันได้ทั้งหมดได้

ที่เล่ามาทั้งหมด ขอออกตัวว่าผมไม่ได้แก้ต่างให้ไมโครซอฟท์แต่อย่างใด แค่อยากจะชี้ให้เห็นถึงสาเหตุของปัญหาบลูสกรีนที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องบอกล่วงหน้า ตราบใดที่เรายังใช้วินโดวส์ที่ยังคงรันอยู่พีซีที่ภายในมีอุปกรณ์ติดตั้งไม่ซ้ำยี่ห้อกันเลยแม้แต่ยี่ห้อเดียว

ในวินโดวส์ NT, 2000 และ XP นั้น BOD ที่เกิดขึ้น มักเกิดมาจากเคอร์แนลหรือไดรเวอร์ ที่เกิดทำงานผิดพลาดโดยที่ไม่สามารถจะคืนสภาพการทำงานให้กลับมาเหมือนเดิมได้ เช่น ไดรเวอร์ส่งค่าบางอย่างที่ไม่ถูกต้องไปยังกระบวนการอื่นๆ ทำให่ตัวระบบปฏิบัติการทำงานผิดพลาด วิธีเดียวที่ผู้ใช้จะแก้ไขได้ คือ รีบูตเครื่องคอมพิวเตอร์
ซึ่งนั่นหมายความว่า ข้อมูลหรืองานที่คุณกำลังทำอยู่มีโอกาสที่จะหายไปด้วยเพราะวินโดวส์ไม่ได้ถูกสั่งปิดแบบปกติ
การพิจารณาแก้ปัญหา BOD ดูได้จากข้อความที่แสดงและเออเรอร์โค้ด บางปัญหาวินโดวส์จะแสดงข้อความที่เป็นสาเหตุอย่างชัดเจน แต่บางปัญหาก็ไม่สามารถอาศัยข้อความที่แสดงเพียงอย่างเดียว ต้องนำเอาเออเรอร์โค้ดมาร่วมพิจารณาด้วย ตำแหน่งของข้อความและเออเรอร์โค้ด

เครดิต : bcoms.net

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แฉแหลกคอมพิวเตอร์ ตอน 6 รหัสอันตรายที่ทำให้เครื่องคุณไม่มีเสียง

6 รหัสอันตรายที่ทำให้เครื่องคุณไม่มีเสียง
  • ข้อผิดพลาด “ MMSystem263. This is not a registered MCI device -
  • ข้อผิดพลาด “MIDI output error detected.”
  • ข้อผิดพลาด “WAV sound playback error detected”
  • ข้อผิดพลาด “No wave device that can play files in the current format is installed.” -
  • ข้อผิดพลาด “ You audio hardware connot play files like the current file.” -
  • ข้อผิดพลาด “MMSYSTEM296. The file cannot be played on the specified MCI device.”
หากว่าใช้งานคอมพิวเตอร์อยู่ดี ๆ ปรากฏว่าอยู่ ๆ ก็มีข้อความเหล่านี้ขึ้นมาก็ให้ทำใจได้เลยว่า ตอนนี้กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับเสี่ยงวินโดวส์โดยอุปกรณ์ 1 ใน 2 อย่างนี้เป็นตัวก่อปัญหาขึ้นมา Wave Audio device, CD Audio device ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหานั้นก็มีดังนี้ ตรวจสอบว่าการ์ดเสียงของคุณเปิดใช้งานหรือยัง
  1. คลิกขวาที่ไอคอน My Computer แล้วเลือกคำสั่ง Properties
  2. คลิกไปที่แท็ป Device Manager
  3. คลิกเครื่องหมาย (+) ที่ตัวเลือก Sound, Video and Game Controllers
  4. ดับเบิ้ลคลิกที่การ์ดเสียง
  5. แล้วตรวจสอบว่าที่ตัวเลือก Disable in this hardware profile มีเครื่องหมายถูกอยู่หรือเปล่า ถ้ามีเครื่องหมายถูกหน้าตัว Disable in this hard ware profile อยู่ก็ให้คลิกเครื่องหมายถูกหน้าตัวเลือกนี้ออก
  6. คลิกปุ่ม OK 2 ครั้ง แล้ววินโดวส์จะถามว่าต้องการที่บูตเครื่องใหม่หรือไม่ ก็ให้ทำการบูตเครื่องใหม่ เมื่อบูตเครื่องขึ้นมาก็ลองตรวจดูว่ามีเสียงออกมาหรือยัง
ตรวจสอบว่าการ์ดเสียงได้รับเลือกให้เป็นอุปกรณ์ที่ต้องการแล้วหรือยัง
เข้าไปไหนส่วน Control Panel แล้วดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน Sound and Multimedia เลือกที่แท็บ Audio ในส่วนของ Sound Playback และ Sound Recording ให้ตรวจสอบว่าเลือกการ์ดเสียงในกล่อง Preferred device แล้วหรือยัง ถ้ามีการเลือก (None) หรืออุปกรณ์อื่นในกล่อง preferred device ก็ให้เลือกเป็นรุ่นการ์ดเสียงที่ใช้แทน คลิกปุ่ม OK เพื่อทำการบันทึกค่า

ตรวจสอบว่า วินโดวส์ได้กำหนดค่าให้ใช้คุณลักษณะเสียงของการ์ดเสียงแล้วหรือยัง

เข้าไปในส่วน Multimedia ที่ Control Panel แล้วคลิกที่แท็บ Devices คลิกเครื่องหมาย + หน้าตัวเลือก Audio Devices ดับเบิ้ลคลิกที่การ์ดเสียง จากนั้นตรวจสอบว่าได้คลิกเครื่องหมายถูกหน้าตัวเลือก Use audio features on this device แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ได้เลือกก็ให้คลิกเลือกตัวเลือกนี้ เสร็จแล้วให้คลิกปุ่ม OK จนกระทั่งกลับไปยัง Control Panel ให้ปิดหน้าต่าง Control Panel แล้วทำการบู๊ตเครื่องใหม่
ตรวจสอบว่าคุณติดตั้งอุปกรณ์ Wave Audio แล้วหรือยัง
ให้เข้าไปที่ส่วน Multimedia ใน Control Panel แล้วคลิกที่แท็บ Devices คลิกเครื่องหมาย + หน้าตัวเลือก Media Control Devices ดูให้แน่ใจว่าได้ติดตั้ง Wave Audio Device (Media Control) หรือยังถ้าหากว่ามีการติตตั้งแล้วก็ให้ดับเบิ้ลคลิกที่ Wave Audio Device (Media Control) ดูให้แน่ใจว่าได้เลือกตัวเลือก Use this Media Control device แล้วถ้ายังก็ให้คลิกเลือก คลิกปุ่ม OK แต่ถ้ายังไม่ได้ติดตั้ง Wave Audio Device (Media Control) ก็ให้กลับไปหน้า Control Panel ก่อนแล้วให้ดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน Add New Hardware คลิกปุ่ม Next ไปเรื่อย ๆ วินโดวส์ ก็จะถามว่าต้องการที่จะให้วินโดวส์ ทำการหาอุปกรณ์ให้โดยอัตโนมัติหรือไม่ ให้เลือกตัวเลือก No. I want to select….. คลิกปุ่ม Next เพื่อทำขั้นตอนต่อไป ภายใต้ส่วนของ Hardware types ให้คลิกเลือกตัวเลือก Sound, Video and Game Controllers คลิกปุ่ม Next เพื่อทำขั้นตอนต่อไป ในส่วนของ Manufacturers ให้เลือกตัวเลือก Microsoft MCI แล้วให้คลิกเลือกตัวเลือก Wave Audio Device (Media Control) ในส่วนของ Models คลิกปุ่ม Next ต่อมาคลิกปุ่ม Finish ถ้าได้รับแจ้งให้ใส่ซีดีรอมติดตั้งโปรแกรมวินโดวส์ ก็ให้ใส่แผ่นติดตั้งลงไป แล้วคลิกปุ่ม OK เลือกไปที่โฟลเดอร์วินโดวส์ที่อยู่ในแผ่นซีดีรอม จากนั้นก็คลิกปุ่ม OK สุดท้ายวินโดวส์ก็จะทำการติดตั้งไฟล์ เมื่อติดตั้งเสร็จวินโดวส์จะให้ทำการบู๊ตเครื่องใหม่ ก็ให้คลิกปุ่ม Yes ได้ทันที เมื่อเข้าวินโดวส์อีกครั้งก็ให้ลองตรวจสอบดูว่า ปัญหาแก้ไขได้แล้วหรือยัง
ตรวจสอบว่าคุณติดตั้งอุปกรณ์เสียงซีดีแล้วหรือยัง

ขั้นแรกให้เข้าไปในส่วน Multimedia ของ Control Panel แล้วคลิกแท็บ Devices คลิกเครื่องหมาย + หน้าตัวเลือก Media Control Devices
ดูให้แน่ใจว่าการแสดง CD Audio Device (Media Control) ในรายการแล้วหรือยัง ถ้ามีการแสดงอุปกรณ์นี้ในรายการแล้ว ให้ดับเบิ้ลคลิกที่ตัวเลือก CD Audio Device (Media Control) ดูให้แน่ใจว่าได้เลือก Use this Media Control dอvice แล้วหรือยัง ถ้ายังก็ให้คลิกเลือกตัวเลือก Use this Media Control device จากนั้นคลิกปุ่ม OK จนกระทั่งกลับเข้าสู่ส่วนของ Control Panel อีกครั้ง ก็ให้คุณลองทดสอบดูว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้วหรือยัง ในกรณีที่ไม่มีการแสดงอุปกรณ์ CD Audio Device (Media Control) นี้ในรายการ ก็ให้ติดตั้งอุปกรณ์นี้ ในส่วนของ Models ก็ให้เลือกตัวเลือก CD Audio Device (Media Control) แทนเท่านั้นเองครับ


เครดิต : bcoms.

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แฉแหลกคอมพิวเตอร์ ตอน การแก้ปัญหาครื่องแฮงค์

การแก้ปัญหาครื่องแฮงค์
เครื่องแฮงค์เพราะไดรเวอร์
ไดรเวอร์คือ โปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานงานระหว่างฮาร์ดแวร์และระบบ ปฏิบัติการหรืออธิบายง่ายๆ ก็คือคอยทำหน้าที่แนะนำให้ระบบปฏิบัติการรู้จักและทำงาน ร่วมกับฮาร์ดแวร์ได้นั่นเอง ดังนั้นหากอุปกรณ์ตัวไหนที่ไม่ได้ลงไดรเวอร์ ก็อาจทำให้ระบบปฏิบัติการไม่รู้จัก จึงไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ดูแล้วไดรเวอร์ ไม่น่าจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดปัญหาใช่มั้ยครับ แต่เนื่องจากว่า บางครั้งไดรเวอร์ที่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ไม่สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ตัวเก่า ได้ มีผู้ใช้หลายคนยกเครื่องมาให้ ช่างคอมพิวเตอร์ตรวจเช็คเนื่องจากปัญหาเครื่องแฮงค์บ่อยพอสอบถามถึงปัญหาก็ พบว่าผุ้ใช้ได้เคยอัพเดท ไดรเวอร์รุ่นใหม่ที่ดาวน์โหลดมาจากเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต ดังนั้นเมื่อตรวจเช็คแล้วก็พบว่าไดรเวอร์ที่ผุ้ใช้ อัพเดทนั้นเป็นไดรเวอร์รุ่นทดสอบที่หลายเว็บไซต์มักชอบนำมาให้ดาวน์โหลดไป ทดสอบกันดูก่อน เมื่อไดรเวอร์ยังไม่สมบูรณ์ จึงยังไม่สามารถทำงานเข้ากับฮาร์ดแวร์ บางตัวได้จึงทำให้เกิดปัญหาเครื่องแฮงค์ นั่นเอง ซึ่งปัญหานี้พบได้บ่อยมาก

สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาของช่างคอมพิวเตอร์ก็คือ ให้สอบถามพฤติกรรมการใช้งานของ ผู้ใช้ก่อน หากพบเครื่องที่มีอาการแฮงค์หลังจากที่ผู้ใช้อัพเดทไดรเวอร์ลงไปให้ สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าเกิดจากสาเหตุนี้ วิธีแก้ปัญหาก็คือให้จัดการถอดไดรเวอร์ที่มีปัญหานั้นทิ้งไป แล้วลงไดรเวอร์ตัวเก่าที่เคยใช้งานได้ดีกลับไปเหมือนเดิม โดยมีขั้นตอนดังนี้

  1. ให้คลิกขวาที่ไอคอน My Computer > Properties
  2. ที่หน้าต่าง System properties ให้คลิกแท็ป Device Driver
  3. จากนั้นคลิกขวาที่ไดรเวอร์ของอุปกรณ์ที่มีปัญหา แล้วเลือกคำสั่ง Remove ไดรเวอร์นั้นออกไปแล้วลงไดรเวอร์ตัวเก่าที่เคยใช้งานได้ดีกลับไปเหมือนเดิม
แต่บางครั้งไดรเวอร์ที่มากับอุปกรณ์ตั้งแต่ตอนแรกที่ซื้อมา ก็อาจทำให้มีปัญหาได้เหมือนกัน โดยจะ พบบ่อยมากในไดรเวอร์ของการ์ดแสดงผล 3 มิติ และซาวด์การ์ดยี่ห้อโนเนมทางแก้ปัญหาคือ ต้องไปดาวน์โหลดไดรเวอร์เวอร์ชั่นใหม่จากเว็บไซต์ของผู้ผลิตอุปกรณ์ยี่ห้อ ที่ใช้อยู่เท่านั้น ไม่ควรไปดาวน์โหลดจากเว็บไซต์อื่น เพราะจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้
เครื่องแฮงค์เพราะโปรแกรมแอพพลิเคชั่น
หลายครั้งที่อาการแฮงค์มักเกิดหลังจากโปรแกรมที่ติดตั้ง อยู่ในเครื่องเข้ากันไม่ได้ บางไฟล์ของโปรแกรมตัวหนึ่งอาจเข้าไปเปลี่ยนแปลงไฟลืบางตัวของระบบปฏิบัติการจึงทำให้เกิดปัญหาขึ้นตามมาได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากไฟล์นามสกุล DLL ซึ่งเป็นไฟล์สาธารณะของระบบปฏิบัติการ ที่มักจะมีหลายโปรแกรมที่เราติดตั้ง เข้ามาขอใช้ไฟล์นามสกุล DLL ด้วย แต่บางโปรแกรมก็มีไฟล์ DLL เวอร์ชั่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าไฟล์ DLL ตัวเดิมของระบบปฏิบัติการ เมื่อเราติดตั้งโปรแกรมนี้ลงไปมันก็จะเขียนไฟล์ DLL ตัวใหม่ทับตัวเก่าทันที จึงทำให้เกิดปัญหาเครื่องแฮงค์ตามมา เพราะไฟล์ DLL เวอร์ชั่นใหม่ไม่สามารถทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการได้
สำหรับแนวทางแก้ไขของช่างคอมพิวเตอร์ก็คือ ให้สอบถามพฤติกรรมของการใช้งานของผู้ใช้ก่อน เมื่อพบเครื่องที่มีลักษณะเครื่องแฮงค์หลังจากที่ผุ้ใช้ลงโปรแกรมตัวใหม่ลงไป ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าอาจ มาจากสาเหตุนี้ วิธีการแก้ไขก็คือ หากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบนวินโดวส์ 98 / Me ให้บูตเครื่องด้วยแผ่นบูตแล้วพิมพ์คำสั่ง Scanreg / restore เพื่อเป็นการย้อนกลับไปใช้รีจีสทรีที่วินโดวส์ได้แบ็คอัพเก็บไว้ 5 วันหลังสุด ก็ให้เราเลือกวันที่คิดว่ายังไม่เกิดปัญหาเพียงเท่านี้ก็จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ครับ สำหรับวินโดวส์ Me และวินโดวส์ XP ก็สามารถใช้โปรแกรม System Restore เพื่อย้อนกลับไปยังวันที่ไม่เกิดปัญหาได้ โดยสามารถเรียกใช้โปรแกรมได้ดังนี้
  1. คลิกปุ่ม Start > Program > Accessories > System Tools > System Restore
  2. เมื่อปรากฏโปรแกรม System Restore ขึ้นมาให้คลิกที่ช่อง Restore my computer to earlier time แล้วคลิกปุ่ม Next
  3. เลือกวันที่และจุด Checkpoint ที่คิดว่ายังไม่เกิดปัญหา โดยวันที่ที่สามารถย้อนกลับไปได้จะเป็นช่องหนาๆ เมื่อเลือกเสร็จแล้วให้คลิกปุ่ม Next
  4. จะมีหน้าต่างแสดงรายละเอียดของวันที่และจุด Checkpoint ที่ต้องการย้อนระบบกลับไป ให้เราคลิกปุ่ม Next แล้วโปรแกรมก็จะเริ่มทำการย้อนระบบกลับไปยังวันที่และจุด Checkpoint ที่เรากำหนด

เครดิต : bcoms.net

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แฉแหลกคอมพิวเตอร์ ตอน แป้นพิมพ์ลัด (ShortCut) ใน Windows XP

เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน Windows ง่ายๆ ด้วยการจดจำ และเรียนรู้การใช้งาน Keyboard ผสมผสานกับการใช้งานเม้าส์ รับรองคุณจะทำงานได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
  • BACKSPACE (ดูโฟลเดอร์ย้อนขึ้นหนึ่งระดับใน My Computer หรือ Windows Explorer)
  • ESC (ยกเลิกงานปัจจุบัน)
  • CTRL+C (คัดลอก)
  • CTRL+X (ตัด)
  • CTRL+V (วาง)
  • CTRL+Z (ยกเลิก)
  • DELETE (ลบ)
  • SHIFT+DELETE (ลบรายการที่เลือกอย่างถาวรโดยไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin)
  • กดปุ่ม CTRL ขณะที่ลากรายการ (คัดลอกรายการที่เลือก)
  • กดปุ่ม CTRL+SHIFT ขณะที่ลากรายการ (สร้างทางลัดไปยังรายการที่เลือก)
  • ปุ่ม F2 (เปลี่ยนชื่อรายการที่เลือก)
  • CTRL+ ลูกศรขวา (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของคำถัดไป)
  • CTRL+ ลูกศรซ้าย (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของคำก่อนหน้า)
  • CTRL+ ลูกศรลง (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของย่อหน้าถัดไป)
  • CTRL+ ลูกศรขึ้น (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของย่อหน้าก่อนหน้าไป)
  • CTRL+SHIFT พร้อมกับปุ่มลูกศรใดๆ (ไฮไลต์บล็อกข้อความ)
  • CTRL+A (เลือกทั้งหมด)
  • ปุ่ม F3 (ค้นหาไฟล์หรือโฟลเดอร์)
  • ALT+ENTER (ดูคุณสมบัติต่างๆ ของรายการที่เลือก)
  • ALT+F4 (ปิดรายการที่ใช้งานอยู่ หรือปิดโปรแกรมที่ใช้งาน)
  • ALT+ENTER (แสดงคุณสมบัติของออบเจกต์ที่เลือก)
  • ALT+SPACEBAR (เปิดเมนูทางลัดสำหรับหน้าต่างที่ทำงานอยู่)
  • CTRL+F4 (ปิดเอกสารที่ใช้งานอยู่)
  • ALT+TAB (สลับระหว่างรายการต่างๆ ที่เปิดอยู่)
  • ALT+ESC (สลับไปยังรายการต่างๆ ตามลำดับที่เปิด)
  • ปุ่ม F6 (สลับไปตามรายการอิลิเมนต์บนหน้าจอในหน้าต่างหรือบนเดสก์ทอป)
  • ปุ่ม F4 (แสดงรายการแอดเดรสบาร์ใน My Computer หรือ Windows Explorer)
  • SHIFT+F10 (แสดงเมนูทางลัดสำหรับรายการที่เลือก)
  • ALT+SPACEBAR (เปิดเมนูระบบสำหรับหน้าต่างที่ทำงานอยู่)
  • CTRL+ESC (แสดงเมนู Start)
  • ALT+อักษรขีดเส้นใต้ในชื่อเมนู (แสดงเมนูนั้นๆ)
  • อักษรที่ขีดเส้นใต้ในชื่อคำสั่งบนเมนูที่เปิด (ทำงานตามคำสั่งนั้นๆ)
  • ปุ่ม F10 (เปิดแถบเมนูในโปรแกรมที่กำลังใช้งาน)
  • ลูกศรขวา (เปิดเมนูถัดไปทางขวา หรือเปิดเมนูย่อย)
  • ลูกศรซ้าย (เปิดเมนูถัดไปทางซ้าย หรือปิดเมนูย่อย)
  • ปุ่ม F5 (อัปเดทหน้าต่าง)
  • กดปุ่ม SHIFT ขณะที่ใส่แผ่นซีดีรอมลงในไดรฟ์ซีดีรอม (ยกเลิกการเล่นซีดีรอมอัตโนมัติ)
  • CTRL+SHIFT+ESC (เปิด Task Manager)

    ทิปจาก : it-guild


วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แฉแหลกคอมพิวเตอร์ ตอน 10 ลางบอกเหตุฮาร์ดดิสก์ใกล้ตาย

10 ลางบอกเหตุฮาร์ดดิสก์ใกล้ตาย

ว่า กันว่าผู้ใช้บางท่านรู้สึกแย่มาก ๆ ที่อยู่ดี ๆ ฮาร์ดดิสก์สุดที่รักก็จากไปอย่างไม่หวนคืน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นมันมีสัญญาณเตือนให้ทราบอยู่ตลอดเวลา แต่ก็หาได้สังเกตไม่ ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีนิสัยรักการแบ็คอัพ ประเภทรักเดียวใจเดียวไม่สำรองข้อมูลไว้ที่อื่นกันบ้างเลย

ประเด็น ที่อยากจะเตือนผู้ใช้ก็คือ อย่ามั่นใจเทคโนโลยีมากเกินไป ควรสังเกตสังกามันบ้าง ต่อไปนี้คือ ลางบอกเหตุสำหรับฮาร์ดดิสก์ที่ใกล้ตาย ซึ่งมีอยู่ 10 ข้อด้วยกัน อ่านเรื่องนี้จบแล้วลองพิจารณาดูด้วยนะครับว่า ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้อยู่มีอาการตามนี้บ้างหรือไม่


  • 1. เสียงดังติ๊กๆ อย่านึกว่าเป็นเข็มนาฬิกา : ฮาร์ดดิสก์ทุกตัวในโลกนี้ไม่เคยติดตั้งนาฬิกาปลุกไว้ข้างใน และถ้ามันเป็นปกติดีก็ไม่ควรจะมีเสียงดังติ๊กๆ ให้ชวนระทึกขวัญด้วย เสียงดังที่ว่านี้ ถ้าจะให้พิจารณากันอย่างละเอียดคุณต้องเอาหูแนบกับฮาร์ดดิสก์ว่าเสียงมาจาก ส่วนใด เพราะการวิเคราะห์หาสาเหตุจะทำได้ตรงจุดจริง ๆ ถ้าเสียงมาจากตรงกลางให้สันนิษฐานว่ามาจากชุดขับเคลื่อนมอเตอร์ที่อาจเกิด ความผิดพลาดหรือชำรุดขึ้น แต่ถ้าเสียงดังมาจากรอบ ๆ นอกในรัศมีของกล่องฮาร์ดดิสก์ ให้สันนิษฐานว่าปัญหามาจากหัวอ่านติดขัด ซึ่งอาจจะกำลังเคาะกับแผ่นจานอยู่ก็เป็นได้ ตรงนี้อันตรายมากเพราะทำให้ข้อมูลเสียหายได้ทั้งลูกเลย
  • 2. ไฟดับบ่อยๆ ไม่ดีกับฮาร์ดดิสก์ : เครื่องคอมพ์ที่ไม่มี UPS มีโอกาสเสี่ยงที่อุปกรณ์ภายในจะเสียหายเร็วขึ้นถ้าหากมีไฟดับบ่อย ๆ โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์นั้น เวลาที่ไฟฟ้าดับอย่างรวดเร็วหัวอ่านข้างในอาจจะยังไม่กลับสู่บริเวณที่ ปลอดภัย หรือบางทีหัวอ่านอาจจะไปกระแทกกับแผ่นจานในช่วงที่ไฟฟ้ากระชากขึ้นมาทันที ซึ่งไม่เป็นผลดีแน่ นอกจากนี้หากไฟตกบ่อย ๆ แล้วดับลงก็ไม่เป็นผลดีเช่นกัน เพราะฮาร์ดดิสก์จะพยายามทำงานตามหน้าที่หากมีกำลังไฟเพียงพอ แต่ถ้าในระหว่างนั้นไฟค่อยๆ ตกลงและดับไป ตำแหน่งของหัวอ่านจะยังไม่กลับที่เดิมแน่ ดังนั้น ควรติดตั้ง UPS ไว้จะปลอดภัยทั้งฮาร์ดดิสก์เองและอุปกรณ์ทั้งหมดด้วยเช่นกัน
  • 3. เครื่องแฮงก์บ่อยๆ : ปัญหาเครื่องคอมพ์ค้างนั้น มีหลายสาเหตุครับ นอกจากซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการ Error แล้ว อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ก็สามารถทำให้เครื่องค้างหรือหยุดนิ่งไม่ไหวติงได้เช่นกัน หนึ่งในนั้นก็คือ ฮาร์ดดิสก์ นั่นเอง ทำไมฮาร์ดดิสก์ถึงค้างได้ เป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยากครับ อย่างแรกเลยก็คือ กำลังไฟที่จ่ายไม่เพียงพอ ถ้าเครื่องของคุณมีอุปกรณ์ต่อพ่วงมาก มีฮาร์ดดิสก์และไดรฟ์ออปติคอลหลายตัว แต่เพาะเวอร์ซัพพลายใช้ของราคาถูก จ่ายไฟไม่พอ แบบนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ฮร์ดดิสก์ค้างได้เลย และอย่างที่สองมาจากอุปกรณ์ภายฮาร์ดดิสก์ในทำงานผิดพลาด ซึ่งตรงจุดนี้ตัวระบบปฏิบัติการเองสามารถส่งผลต่อเนื่องมายังฮาร์ดดิสก์ได้ โดยตรง เพราะยังไงเสียระบบปฏิบัติการก็เก็บอยู่ในฮาร์ดดิสก์นั่นเอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับส่วนหนึ่ง ย่อมส่งผลไปยังส่วนที่เหลือได้ไม่ยาก
  • 4. ทำไมมันร้อนเร็วจัง : หลังจากที่คุณเปิดสวิตช์เครื่องคอมพ์ได้ไม่นาน และพบว่าฮาร์ดดิสก์ของคุณมีอุณหภูมิขึ้นสูงอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แต่ยังคงทำงานต่อไปได้ ให้ตั้งข้อสันนิษฐานถึงความผิดปกติที่พบขึ้นมาทันที อย่าได้นิ่งนอนใจ เพราะฮาร์ดดิสก์จะร้อนขึ้นเมื่อมีการเริ่มเขียน-อ่าน ข้อมูลอย่างจริงๆ จังๆ แค่เปิดเครื่องแล้วอยู่ๆ ก็ร้อนขึ้นขนาดนี้ไม่ดีแน่ครับ อาการที่ว่านี้มาจากอุปกรณ์ภายในโดยตรงที่ส่งความร้อนออกมา มอเตอร์อาจได้รับแรงดันไฟมากเกินไปหรือไม่เสถียรพอจนทำงานผิดพลาด นอกจากนี้หากมีชิ้นส่วนในแผงวงจรเกิดชำรุดเสียหายขึ้นมาก็สามารถแสดงอาการ แบบนี้ได้เช่นกัน
  • 5. โปรแกรมค้างบ่อยๆ : สำหรับโปรแกรมที่กำลังพูดถึงนี้ ผมเหมารวมไปถึงระบบปฏิบัติการด้วยนะครับ เวลาที่คุณเปิดโปรแกรมสักตัวขึ้นมาแล้วมันหยุดนิ่งหรือค้างไปเฉยๆ นั้น หนึ่งในข้อสันนิษฐานที่อยากให้ทุกท่านได้ใส่ใจก็คือ ปัญหาที่ว่าอาจมาจากฮาร์ดดิสก์โดยตรง ถ้าฮาร์ดดิสก์ของคุณมีแบดเซกเตอร์ (Bad Sector) กระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งฮาร์ดดิสก์ ผมกล้าฟันธงได้เลยว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้โปรแกรมหรือแม้แต่ระบบปฏิบัติ การค้างได้ เป็นสัญญาณเตือนภัยที่คุณสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด
  • 6. ไฟติด แต่ไฟล์ดับ! : ถ้าคุณต่อสายสัญญาณไฟแสดงสถานะของฮาร์ดดิสก์ในเมนบอร์ดถูกต้อง หลอด LED ด้านหน้าเคสต้องแสดงอาการให้เห็นเวลาที่มีการเขียนอ่านข้อมูลเกิดขึ้น หลอดไฟดวงเล็ก ๆ นี้ช่วยให้คุณสังเกตความผิดปกติของฮาร์ดดิสก์ได้เช่นกัน ยกตัวอย่าง ถ้าในระหว่างที่มีการเขียนข้อมูลหรือไฟล์ลงฮาร์ดดิสก์ หลอดไฟย่อมกะพริบอยู่ตลอด แต่หลังจากคุณกลับเข้าไปดูข้อมูลที่เขียนหรือโอนถ่ายลงไปกลับพบว่าทุกอย่าง ว่างเปล่า ไม่มีอะไรถูกเขียนลงไปในฮาร์ดดิสก์เลย แล้วทำไมหลอดไฟถึงได้กะพริบแบบนั้น ตรงนี้บอกอะไรเราได้บ้าง อย่างแรกเลยคือ เกิดความผิดพลาดในระดับโครงสร้างการจัดเก็บไฟล์ ปัญหาที่ว่านี้อาจมาจากระบบ FAT หรือแม้แต่โครงสร้างพาร์ทิชันเสียหาย ไฟที่กะพริบแสดงถึงการโอนข้อมูลไปยังตำแหน่งของเซกเตอร์ที่ใช้เก็บข้อมูล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเขียนลงไปได้สำเร็จจริงๆ ยิ่งถ้าคุณปิดหน้าจอไว้ในระหว่างที่มีการโอนไฟล์ใหญ่ๆ หลอดไฟที่กะพริบอาจทำให้คุณเข้าใจว่าระบบกำลังทำงานอยู่ ตรงนี้ถ้าไม่เปิดดูหน้าจอจะไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
  • 7. ฮาร์ดดิสก์ตีกลอง : สำหรับอาการที่ว่านี้มีความแตกต่างจากข้อที่ 1 โดยสิ้นเชิง ถ้าคุณได้ยิ้นเสียงรัวกลองดังกึกก้องมาจากฮาร์ดดิสก์ และไม่ยอมหยุดซักที อาการแบบนี้บอกได้อย่างเดียวว่ามันจะขอลาแล้วละครับ เสียงดังที่คล้ายกับการตีกลองนั้นมาจากหัวอ่านไปกระทบกับจานอย่างจัง หรือแม้แต่หัวอ่านเลื่อนหลุดออกจากตำแหน่งล็อก จนไปกระกบกับแผ่นจาน ถ้าเป็นแบบนี้ข้อมูลทั้งหมดในอาร์ดดิสก์อาจได้รับความเสียหายจนถึงขั้นกู้ ไม่ได้เลย ดังนั้น ถ้าเสียงกลองเพิ่งเริ่มรัวให้คุณรีบพาฮาร์ดดิสก์ไปซ่อมด่วนเลยนะครับ!
  • 8. สแกนดิสก์ไม่ผ่าน : การตรวจสุขภาพฮาร์ดดิสก์ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเองก็คือ สแกนมันให้ทั่วทั้งจาน ไม่ว่าคุณจะใช้บริการจากยูทิลิตีบนวินโดวส์เอง หรือโปรแกรมจากเธิร์ดพาร์ตี้ก็ตาม หากสแกนไม่ตลอดรอดฝั่งแล้วละก็ ให้ตั้งข้อสันนิษฐานได้เลยว่าฮาร์ดดิสก์กำลังมีปัญหาเกิดขึ้น สาเหตุก็มีทั้งโครงสร้าง FAT เสียหาย รวมถึงตารางพาร์ทิชันที่อาจเสียหายด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ หากฮาร์ดดิสก์มีแบดเซกเตอร์ ตรงจุดสำคัญๆ ก็จะส่งผลให้การสแกนฮาร์ดดิสก์ตรงตำแหน่งพื้นที่นั้นๆ ไม่ผ่านด้วยเช่นกัน หรือแม้แต่ค้างนิ่งไปเลยก็มีให้เห็นด้วย
  • 9. สั่งดีแฟรกแต่ไม่ฉลุย : ดีแฟรก หรือการจัดเรียงข้อมูลหรือไฟล์ที่ไม่ต่อเนื่องซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่ว ฮาร์ดดิสก์ให้กลับมาเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเดิม เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วให้ก็จริง แต่ถ้าการดีแฟรกไม่ผ่านฉลุยหรือไม่ยอมจบสิ้นซักทีล่ะ ปัญหาจะมาจากไหนได้ นอกจากฮาร์ดดิสก์นั่นเอง ถ้าคุณพบอาการที่ว่านี้ในระหว่างการดีแฟรกฮาร์ดดิสก์นั้น เป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้ถึงสุขภาพฮาร์ดดิสก์ของคุณเริ่มไม่ดีแล้ว ความเป็นไปได้ของปัญหามีอยู่สองอย่างครับ อย่างแรกมาจากตัวอุปกรณ์เองที่อาจชำรุดเสียหาย และอย่างที่สองมาจากโครงสร้างพื้นฐานการจัดเก็บข้อมูลเกิดความเสียหายใน ระดับซอฟต์แวร์ ตรงนี้เราไม่สามารถใช้การดีแฟรกมาช่วยได้นอกจากต้องสร้างพาร์ทิชันและฟอร์ แมตโครงสร้าง FAT ขึ้นมาใหม่
  • 10. สร้างพาร์ทิชันไม่ได้ : สัญญาณอันตรายในข้อสุดท้ายนี้ค่อนข้างรุนแรงครับ ถ้าคุณเผอิญกำลังประสบอยู่ละก็ ขอบอกเลยว่าอาจจะต้องทำใจเอาไว้ด้วย ถ้าอาการที่ว่านี้เกิดกับฮาร์ดดิสก์ตัวใหม่แกะกล่องคงไม่ต้องซีเรียสอะไร เพราะยังไงก็เคลมได้ชัวร์ๆ แต่ถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์ที่หมดประกันไปแล้วล่ะ สิ่งที่คุณต้องเรียนรู้เวลาที่ไม่สามารถสร้างพาร์ทิชันขึ้นมาได้เลย ไม่ว่าจะใช้โปรแกรมใดๆ ก็ตาม การตีความหมายไม่ควรอยู่ในวงแคบๆ เช่น ฮาร์ดดิสก์พังแน่ ๆ หรือมันเพิ่งหล่นมาใช้ไหมนี่ ปัญหาอาจจะมาจากแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์เสียหาย ซึ่งหากคุณหาอะไหล่ที่เป็นรุ่นเดียวกันมาถอดเปลี่ยนเข้าไปใหม่ ก็สามารถใช้งานฮาร์ดดิสก์ได้แล้ว แต่ถ้าแผ่นจานเสียหายละก็หมดสิทธิ์ทันทีครับ ต้องกินยาทำใจอย่างเดียว

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แฉแหลกคอมพิวเตอร์ ตอน 10 วิธีในการเพิ่มความเร็วในการเล่นอินเตอร์เน็ต

10 วิธีในการเพิ่มความเร็วในการเล่นอินเตอร์เน็ต

  1. ติดตั้ง Driver ของ Modem ของคุณให้ถูกต้อง
    ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าการใช้ Driver ที่ถูกต้องจะทำให้เราสามารถใช้ความสามารถของโมเด็มได้มากที่สุด วิธีการตรวจสอบให้เข้า คลิกปุ่ม Start เลือก Control Panel จากนั้นคลิกไอคอน Modem แล้วคลิก General Tab ลองสังเกตดูว่าชื่อโมเด็มตรงกับที่ใช้อยู่หรือไม่ ถ้าไม่ใช้ให้ติดต่อบริษัทที่คุณซื้อมา หรือถ้าไม่สะดวกให้เข้าไปที่เวปไซท์ ของเจ้าของ Modem นั้น ๆ แล้วเลือก downlaod Driver ของ Modem ของคุณ เลือกเวอร์ชั่นล่าสุด

  2. ซื้อโมเด็มที่มีความเร็วสูงสุด
    เรื่องง่าย ๆ ครับ ถ้าอยากเร็วก็ซื้อโมเด็มที่เร็ว ๆ ถูกไหมครับ.. แต่อย่างไรก็ตาม ความเร็วของ PC ที่คุณใช้ก็ส่วนที่จะ ช่วยให้การใช้งานอินเตอร์เน็ตเร็วขึ้นด้วย

  3. โมเด็มตัวเดียวไม่พอ ใช้สองตัวซิครับ
    ข้อนี้ไม่ค่อยอยากแนะนำเพราะว่าคุณต้องเสียเงินเพิ่ม และเสียค่าโทรศัพท์ในการใช้งานเพิ่มด้วย แต่ก็เป็นวิธีที่ดีที่ต้อง การการใช้งานอินเตอร์เน็ตที่เร็วมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการใช้ Modem 2 ตัวได้นั้น จะต้องขึ้นกับทาง ISP ที่คุณใช้ บริการว่า support Modem 2 ตัวหรือไม่ ยังไงก็สอบถามก่อนน่ะครับ

  4. เลือก ISP ที่เร็วและดีที่สุด
    ผมก็เป็นผู้หนึ่งที่ใช้บริการกับหลายๆ ISP แต่ก็ยังไม่ค่อยถูกใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Support หรือเรื่องระบบ หลาย ๆครั้ง เกิดปิดระบบดื้อ ๆ (แก้ไข Server) กว่าจะรู้ว่าทำให้วันนั้นทั้งวันผมต้องเสียเวลาตรวจสอบระบบภายใน นึกว่าของตนเอง เสียหาย ดังนั้น วิธีง่าย ๆในการเลือก ISP มาใช้คือ ใช้ชุดอินเตอร์เน็ตสำเร็วรูปสัก 10 ชั่วโมง แล้วลองใช้ดูก่อน

  5. เลือกหมายเลขโทรศัพท์ในการเชื่อมให้ถูกต้อง
    ข้อนี้สำคัญมาก เนื่องจากหลาย ๆ ท่านยังไม่เข้าใจ ISP จะมีบริการอินเตอร์เน็ตหลายๆ ระดับ ขึ้นกับความเร็วของ Modem ของคุณ เช่น ถ้าใช้ Modem 33.6 kbps จะต้องใช้หมายเลขโทรศัพท์เบอร์ใด และถ้าคุณใช้ Modem 56 kbps คุณจะต้อง ใช้โทรศัพท์เบอร์ใด แต่อย่างไรก็ตามถ้าคุณใช้เบอร์ผิด อาจติดต่อได้ แต่นั่นทำให้การใช้งานอินเตอร์เน็ตช้าลงได้

  6. หลีกเลี่ยงความแออัดของการจราจรบนอินเตอร์เน็ต
    เวลาที่ถูกว่าจะมีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตมากคือเวลา 5 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน ดังนั้น ถ้าคุณสามารถหลีกเลี่ยงเวลาดังกล่าวได้ ย่อมมีส่วนอยู่บ้างที่จะช่วยให้คุณใช้งานอินเตอร์เน็ตได้เร็วมากยิ่งขึ้น

  7. ตั้งค่า Buffers ให้มากขึ้น
    ถ้าคุณใช้ Modem แบบ UART รุ่น 16550 หรือใกล้เคียง และใช้ Windows 95,98/NT ให้ลองปรับเปลี่ยนค่า Buffers โดยการคลิกปุ่ม Start เลือก Control Panel คลิกไอคอน Modems คลิกเลือก Properties คลิกอีกครั้งที่ Connection tab คุณจะพบแถบสไลด์ที่มีข้อความ Port Setting ให้ปรับค่า Receive Buffers และ Transmit Buffers ไปทางขวา เป็น การเพิ่ม Buffers ให้มากขึ้น จะทำให้คุณเล่นอินเตอร์เน็ตได้เร็วมากขึ้น

  8. ตั้งค่า Ports ให้เหมาะสม
    ให้ทดลองเปลี่ยนค่าความเร็วของ Port ให้เป็น 57,600 หรือ 115,200 bps โดยเข้าไปที่ Modem เลือก Properties ดูที่ช่อง Maximum speed หลังจากติดตั้งค่า Modem แล้ว ให้ปรับค่าความเร็วของ Port ใน Device Manager ด้วย โดยคลิกที่ Control Panel เลือกไอคอน System คลิกเลือก Device Manager แล้วเลือก Ports และคลิกหมายเลข Com Port ที่คุณ ติดตั้งโมเด็มเอาไว้ เลือก Port Settings (ข้อความ Flow Control ถูกเลือกเป็น hardware) จากนั้นกำหนดค่า 57,600 หรือ 115,200 ให้ตรงกับ Modem Properties ที่เลือกไว้ตอนต้น

  9. ติดตั้งโปรแกรมช่วยปรับค่าและติด Turbo ให้กับเว็บบราวเซอร์ของคุณ
    หลังจากปรับค่าต่าง ๆแล้วยังไม่เป็นที่พอใจ ให้ลองติดตั้งโปรแกรมที่ช่วยในการปรับค่า และช่วยในการเพิ่มความเร็วโดยการ ตรวจสอบ Configuration ที่เหมาะสมสำหรับ ISP ของคุณ (ซึ่งแต่ละ ISP จะไม่เหมือนกัน) โปรแกรมเหล่านี้ได้แก่ internet Turbo, Web Turbo

  10. ลบข้อมูลใน Cache และปรับแต่ง Harddisk
    ให้ทดลองเปลี่ยนค่าความเร็วของ Port ให้เป็น 57,600 หรือ 115,200 bps โดยเข้าไปที่ Modem เลือก Properties ดูที่ช่อง Cache คือพื้นที่ที่กำหนดไว้สำหรับเล่นอินเตอร์เน็ต ถ้าคุณมีพื้นที่ใน Harddisk ไม่มากพอ คุณควรลบ Cache ออกบ้างโดยเข้าไปที่ เว็บบราวเซอร์ของคุณ IE 5 คลิก Tools เลือก Internet Options เลือก Temporary Internet files ให้เลือก Delete files (Files เหล่านี้คือ files ที่ถูก save ไว้ขณะที่คุณเล่นอินเตอร์เน็ต) จากนั้นให้คุณปรับแต่ง Harddisk ด้วยการเลือกคำสั่ง ฃ Scandisk และ Disk Defragmenter ซึ่งคำสั่งนี้อยู่ที่เมนู Accessories เมนูย่อย System Tools


  11. เครดิต : IT-Speed

แฉแหลกคอมพิวเตอร์ ตอน เปลี่ยนชื่อไฟล์นับร้อย นับพันในคลิกเดียว



เปลี่ยนชื่อไฟล์นับร้อย นับพันในคลิกเดียว

สำหรับผู้ใช้งานกล้องดิจิตอล คงอาจเคยประสบปัญหาเช่นเดียวกับผม นั่นคือ ไฟล์ที่ได้จากกล้องดิจิตอล จะมีชื่อขึ้นต้นเหมือนกันและตามด้วยตัวเลขเช่น กล้องโซนี่ของผม จะขึ้นต้นด้วย 'DSC" ตามด้วย "000001.jpg" เช่น DSC00001.jpg, DSC00002.jpg, DSC00003.jpg,... เป็นต้น

เวลามีการ copy ข้อมูลจากกล้องเข้าเครื่องคอมฯ และต้องการเปลี่ยนชื่อไฟล์ ก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนครั้งละไฟล์ ซึ่งเสียเวลาค่อนข้างมาก เพราะแต่ละครั้งอาจมีนับร้อยๆ ไฟล์จากการถ่ายเพียงครั้งเดียว นอกจากนี้ถ้ามีการ copy ข้อมูลลงในโฟลเดอร์เดียวกัน ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะถ้าไฟล์ชื่อเดียวกันก็อาจถูกทับกันไปหมด ไอที-ไกด์ มีเทคนิคมาบอกกัน โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
  1. Copy ไฟล์ที่ต้องการทั้งหมดลงในเครื่องคอมฯ
  2. เปิดโปรแกรม Windows Explorer
  3. คลุมชื่อไฟล์ทั้งหมดที่ต้องการเปลี่ยนชื่อ



  4. คลิกขวา เลือกคำสั่ง Rename



  5. พิมพ์ชื่อไฟล์ใหม่ที่ต้องการ (โปรแกรมจะเลือกให้เปลี่ยนเพียงไฟล์เดียว) จากภาพ ผมมีการเปลี่ยนชื่อไฟล์เป็น My Photo.jpg

  6. กดปุ่ม Enter
  7. โปรแกรมจะเปลี่ยนชื่อไฟล์ใหม่ และเรียงหมายเลขให้ด้วย



  8. ไม่ยากใช่ไหมครับ...
  9. เครดิต : www.it-guides.com

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สถิติต่างๆ ในฟุตบอลโลกที่ผ่านมา

รองเท้า ทองคำ

รางวัลสำหรับผู้ทำประตูสูงสุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในแต่ละปี

ฟุตบอลโลก นักฟุตบอล ประตู
ฟุตบอลโลก 1930 Flag of Argentina (alternative).svg กีเยร์โม สตาบีเล 8
ฟุตบอลโลก 1934 Flag of the  Czech Republic โอลดริค เนเยดลี 5
ฟุตบอลโลก 1938 Flag of บราซิล เลโอนีดัส 8
ฟุตบอลโลก 1950 Flag of บราซิล อะเดเมียร์ 9
ฟุตบอลโลก 1954 Flag of Hungary 1949-1956.svg ซานดอร์ คอชิช 11
ฟุตบอลโลก 1958 Flag of ฝรั่งเศส ชุสต์ ฟงแตน 13
ฟุตบอลโลก 1962 Flag of  ยูโกสลาเวีย ดราชาน เยร์คอวิช 5
ฟุตบอลโลก 1966 Flag of โปรตุเกส ยูเซบิโอ 9
ฟุตบอลโลก 1970 Flag of เยอรมนี เกิร์ด มึลเลอร์ 10
ฟุตบอลโลก 1974 Flag of โปแลนด์ เกอร์เซกอร์ซ ลาโต้ 7
ฟุตบอลโลก 1978 Flag of Argentina (alternative).svg มาริโอ เกมเปส 6
ฟุตบอลโลก 1982 Flag of อิตาลี เปาโล รอสซี 6
ฟุตบอลโลก 1986 Flag of อังกฤษ แกรี ลินิเกอร์ 6
ฟุตบอลโลก 1990 Flag of อิตาลี ซัลวาโตเร ชิลลาชี 6
ฟุตบอลโลก 1994 Flag of บัลแกเรีย ฮริสโต สตอยชคอฟ
Flag of รัสเซีย โอเลก ซาเลนโค
6
ฟุตบอลโลก 1998 Flag of โครเอเชีย ดาวอร์ ชูเคร์ 6
ฟุตบอลโลก 2002 Flag of บราซิล โรนัลโด้ 8
ฟุตบอลโลก 2006 Flag of เยอรมนี มิโรสลาฟ โคลเซ่ 5

บอล ทองคำ

รางวัลบอลทองคำ สำหรับผู้เล่นที่โดดเด่น

ฟุตบอลโลก บอลทองคำ บอลเงิน บอลทองแดง
ฟุตบอลโลก 1982 Flag of อิตาลี เปาโล รอสซี Flag of บราซิล ฟัลเกา Flag of เยอรมนี คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเกอ
ฟุตบอลโลก 1986 Flag of  อาร์เจนตินา ดีเอโก มาราโดนา Flag of เยอรมนี ฮารัลด์ ชูมาเคอร์ Flag of เดนมาร์ก เพรเบิน เอลค์แยร์
ฟุตบอลโลก 1990 Flag of อิตาลี ซัลวาโตเร ชิลลาชี Flag of เยอรมนี โลทาร์ มัทเทอุส Flag of  อาร์เจนตินา ดีเอโก มาราโดนา
ฟุตบอลโลก 1994 Flag of บราซิล โรมาริโอ้ Flag of อิตาลี โรแบร์โต บัจโจ Flag of บัลแกเรีย ฮริสโต สตอยชคอฟ
ฟุตบอลโลก 1998 Flag of บราซิล โรนัลโด้ Flag of โครเอเชีย ดาวอร์ ชูเคร์ Flag of ฝรั่งเศส ลีลียอง ตูราม
ฟุตบอลโลก 2002 Flag of เยอรมนี โอลิเวอร์ คาห์น Flag of บราซิล โรนัลโด้ Flag of เกาหลีใต้ ฮอง เมียง-โบ
ฟุตบอลโลก 2006 Flag of ฝรั่งเศส ซีเนอดีน ซีดาน Flag of อิตาลี ฟาบิโอ คันนาวาโร่ Flag of อิตาลี อันเดรีย ปีร์โล

รางวัล ยาชิน

รางวัลยาชิน (Yashin Award) สำหรับผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ผู้รักษาประตูชาวรัส เซีย เลฟ ยาชิน เริ่มมีครั้งแรกใน ฟุตบอลโลก 1994

ฟุตบอลโลก นักฟุตบอล
ฟุตบอลโลก 1994 Flag of เบลเยียม มีแชล เพรอดอม
ฟุตบอลโลก 1998 Flag of ฝรั่งเศส ฟาเบียง บาร์เตซ
ฟุตบอลโลก 2002 Flag of เยอรมนี โอลิเวอร์ คาห์น
ฟุตบอลโลก 2006 Flag of อิตาลี จันลุยจิ บุฟฟอน

รางวัล ทีมที่เล่นขาวสะอาด

ฟุตบอลโลก ทีมชาติ
ฟุตบอลโลก 1974 Flag of โปรตุเกส ฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกส
ฟุตบอลโลก 1978 Flag of  อาร์เจนตินา ฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา
ฟุตบอลโลก 1982 Flag of บราซิล ฟุตบอลทีมชาติบราซิล
ฟุตบอลโลก 1986 Flag of บราซิล ฟุตบอลทีมชาติบราซิล
ฟุตบอลโลก 1990 Flag of อังกฤษ ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ
ฟุตบอลโลก 1994 Flag of บราซิล ฟุตบอลทีมชาติบราซิล
ฟุตบอลโลก 1998 Flag of อังกฤษ ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ
Flag of ฝรั่งเศส ฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส
ฟุตบอลโลก 2002 Flag of เบลเยียม ฟุตบอลทีมชาติ เบลเยี่ยม
ฟุตบอลโลก 2006 Flag of บราซิล ฟุตบอลทีมชาติบราซิล
Flag of สเปน ฟุตบอลทีมชาติสเปน

ทีม น่าสนใจ

ทีมที่ได้เล่นตื่นเต้น น่าจับตามองในฟุตบอลโลก

ฟุตบอลโลก ทีมชาติ
ฟุตบอลโลก 1994 Flag of บราซิล ฟุตบอลทีมชาติบราซิล
ฟุตบอลโลก 1998 Flag of ฝรั่งเศส ฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส
ฟุตบอลโลก 2002 Flag of เกาหลีใต้ ฟุตบอลทีมชาติเกาหลีใต้
ฟุตบอลโลก 2006 Flag of โปรตุเกส ฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกส